Day4-1 เที่ยวชมศาลเจ้าเมจิ และย่านฮาราจุกุ ในเวลา 2 ชั่วโมงก่อนเดินทางไปสนามบินนาริตะ (วิธีการเดินทางจากในเมืองโตเกียวไปสนามบินนาริตะ)


ROUND THE C・H・I 

ของเราคือ ริวีวการท่องเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง

ติดตามรีวิวของแต่ละวันในทริป

พร้อมตารางการเดินทาง ค่าใช้จ่าย และ Pass ต่างๆ

Day4-1 เที่ยวชมศาลเจ้าเมจิ และย่านฮาราจุกุ ในเวลา 2 ชั่วโมงก่อนเดินทางไปสนามบินนาริตะ (วิธีการเดินทางจากในเมืองโตเกียวไปสนามบินนาริตะ)

ทริป  นาโกย่า-ชิสึโอกะ-ฟูจิ (คาวากุจิโกะ)-โตเกียว

ICHIGO-CHAN บังเอิญโชคดีได้ดูซากุระที่「NIHONBASHI SAKURA STREET」มาด้วย

Day3-6 ชมอุโมงค์ซากุระที่「NIHONBASHI SAKURA STREET」และรีวิวโรงแรม「NIHONBASHI SAKURA STREET」ที่อากะซากะ

และแล้ววันนี้ ก็เป็นวันสุดท้ายของทริปแล้ว เที่ยวบินของเราในวันนี้คือ 17:25 ที่สนามบินนาริตะ เราจึงจะใช้เวลาว่างก่อนไปสนามบินเพื่อไปชมศาลเจ้าเมจิที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติใจกลางเมืองโตเกียว 「NIPPON MADE」ที่วางขายเฉพาะสินค้าโอนิสึกะที่ผลิตที่ญี่ปุ่นเท่านั้น ต่อด้วยช้อป OnitsukaTiger แบบทั่วไป และ「KIDDY LAND」กันค่ะ

เราสามารถเดินทางไป「MEIJI JINGU」ที่「HARAJUKU」ได้โดยนั่งรถไฟใต้ดินสายจิโยดะ CHIYODA SUBWAY LINE ซึ่งเราสามารถนั่งยาวไปลงที่นั่นได้เลย

ก่อนอื่นก็ต้องออกจากโรงแรมไปทางขวา เมื่อเจอสามแยกก็เลี้ยวไปทางซ้าย ก็จะเจอทางเข้ารถไฟใต้ดินเลย

ลงบันไดไปแล้ว เมื่อเข้ามาในสถานีก็เลี้ยวไปทางขวา เพื่อไปที่เครื่องจำหน่ายตั๋วและช่องตรวจตั๋วอัตโนมัติ วิธีซื้อตั๋วก็ง่ายมาก

ก่อนอื่นจะต้องเช็คราคาตั๋วรถไฟจากแผนผังราคาตั๋วรถไฟที่อยู่บนเครื่องจำหน่ายตั๋ว จากอากาซากะ ไปศาลเจ้าเมจิ ราคา 170 เยน

แล้วจึงกด ¥170 จากนั้นก็ใส่เงิน เท่านี้ก็เรียบร้อย

เมื่อผ่านเข้าไปในช่องตรวจตั๋วแล้ว ก็ยูเทิร์นไปทางซ้ายทันที และเมื่อลงบันไดไปก็จะเป็นชานชาลาทันที

ให้ขึ้นที่เส้นเบอร์ 1 กับรถไฟที่มุ่งหน้าไปสู่「YOYOGI UEHARA」โยโยงิ อุเอฮาระ

นั่งไปสถานีหน้าศาลเจ้าเมจิ 3 สถานี ใช้เวลา 6 นาที

เมื่อถึงแล้วก็ขึ้นบันไดที่อยู่ด้านหน้าชานชาลา แล้วเมื่อออกมาจากช่องตรวจตั๋วที่อยู่ทางขวามือแล้ว ก็จะเจอตู้ล๊อคเกอร์หยอดเหรียญอยู่บริเวณนั้นเต็มไปหมด ฝากประเป๋าใบใหญ่ ๆ ไว้ที่ตู้ล๊อคเกอร์ดีกว่า

ค่าใช้จ่าย มีดังนี้

สำหรับกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ ไซส์ L 700 เยน

สำหรับกระเป๋าเดินทางขนาดเล็ก ไซส์ M 500 เยน

และไซส์ S ที่ไม่สามารถใส่กระเป๋าเดินทางได้ 300 เยน

ใส่กระเป๋าไปในล๊อคเกอร์ที่ว่าง กดปิดประตู ตู้ก็จะทำการล๊อคโดยอัตโนมัติ

「MEIJI JINGU MAE」จะอยู่ด้านหน้าศ่าลเจ้าเมจิเลย ขึ้นบันไดเลื่อนที่อยู่ทางด้านหน้าและยูเทิร์น ก็จะเจอสะพานอยู่ขวามือทันที เมื่อข้ามสะพานไปแล้วก็จะเป็นทางเข้าศาลเจ้าเมจิเลย

สามวันที่ผ่านมาเราเจอแต่วันที่อากาศดี มาวันนี้ฝนก็เริ่มตกหนักเลย แต่ฝนแค่นี้ทำอะไรเราไม่ได้หรอก วันสุดท้ายแล้วด้วย สู้ตายค่ะ

เมื่อข้ามสะพานมา และเลี้ยวมาทางขวา ก็จะเจอกับโทริอิของศาลเจ้าเมจิทันที และมีความเชื่อว่าโทริอินี้เป็นโทริอิที่แยกระหว่างโลกมนุษย์และโลกเทพเจ้า ถึงจะเป็นศาลเจ้าที่อยู่ในกลางเมืองขนาดนี้ แต่อีกฝั่งของโทริอิมีต้นไม้หนาทึบให้ความรู้สึกเหมือนอยู่อีกโลกนึงเลย ดูขลังและยิ่งใหญ่มาก ๆ

จากโทริอิจะเป็นทางเดินที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม ถึงแม้ว่าศาลเจ้านี้จะอยู่ใจกลางเมืองโตเกียวขนาดนี้แต่นอกจากเสียงประกาศจากสถานีฮาราจุกุที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วก็เงียบจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย

เมื่อเดินเข้ามาจากโทริอิประมาณ 5 นาที ก็จะเจอกับถังเหล้าญี่ปุ่นที่ถูกเซ่นไหว้อยู่ เป็นอีกหนึ่งมุมที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมศาลเจ้าแห่งนี้เลย ยี่ห้อเหล้าจากหลายยี่ห้อทั่วประเทศญี่ปุ่น มีจำนวนทั้งหมด 201 ถังเลยด้วย!!

และเมื่อเดินเข้าไปอีกซักพัก ก็จะเจอกับที่ล้างมือของศาลเจ้า

โดยปกจิแล้วเราจะต้องล้างมือ ปาก เพื่อชำระล้างร่างกาย ก่อนที่จะกราบไหว้ตัวศาลเจ้าหลักนั่นเอง

เมื่อชำระล้างร่างกายแล้ว ก็ผ่านเข้าไปในโทริอิอีกชั้น ว่ากันว่าตรงกลางของโทริอิจะเป็นทางที่เทพเจ้าผ่าน เพราะฉะนั้นคนที่มาสักการะควรเดินเข้าจากริม ๆ โทริอิ

และแล้วเราก็เดินเข้ามาถึงตัวศาลเจ้าหลักแล้ว ตรงกลางก็คือ ศาลเจ้าหลัก และมีต้นไม้ใหญ่สูงเด่นอยู่ทั้งสองฝั่ง ให้ความรู้สึกขลังมาก ๆ เลย

ซึ่งเมื่อถึงช่วงปีใหม่หรือช่วงงานเทศกาลใหญ่ ๆ ผู้คนก็จะหนาแน่นเต็มลานกว้างหน้าศาลเจ้าหลักเลยค่ะ

วิธีสักการะศาลเจ้าหลักมีดังนี้

โค้งคำนับ 2:หันหน้าไปทางศาลเจ้าหลักและโค้งคำนับ 2 ครั้ง

ตบมือ      2:ตบมือ 2 ครั้ง

โค้งคำนับ 1:ขอพรไปพร้อม ๆ กับโค้งคำนับอีก 1 รอบ

ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ทั้งสองฝั่งของศาลเจ้าหลักจะมี “เอมะ” แผ่นไม้ที่เอาไว้เขียนของพร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของชาวต่างชาติหมดเลย ภาษาไทยก็มีให้เห็นอยู่บ้างเหมือนกัน

“เอมะ” จำหน่ายอยู่ด้านนอกประตูที่อยู่ข้างต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านขวาศาลเจ้าหลัก

ด้านนอกประตูจะมีจุดจำหน่ายเครื่องราง ป้ายยันต์วัด หรือของศักดิ์สทิธิ์ต่าง ๆ มากมายจำหน่ายอยู่ นอกจากนี้ก็มีเซียมซีจำหน่ายอยู่ด้วย

ซึ่งส่วนใหญ่ที่นี่จะเต็มไปด้วยชาวต่างชาติเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว(ขึ้นอยู่กับวัน) ดังนั้นมิโกะซังที่นี่จึงชินกับชาวต่างชาติแล้ว จึงไม่ต้องห่วงเลย เซียมซีก็มีภาษาอังกฤษด้วย

อาจขึ้นอยู่กับแต่ละศาลเจ้า แต่โดยปกติแล้วเซียมซีจะถูกแบ่งออกเป็นดังนี้

โชดดีมาก大吉-โชคดีปานกลาง中吉-โชดดี吉-โชคน้อย小吉-เกือบมีโชค末吉-โชคไม่ดี凶-โชคไม่ดีมาก大凶

สำหรับใครที่ได้ “โชคไม่ดี凶” หรือ “โชคไม่ดีมาก大凶” ก็ไม่ต้องเศร้าไปค่ะ ให้ถือว่าสิ่งที่เราได้เป็นเพียงคำแนะนำจากเทพเจ้า ดำเนินชีวิตอย่างมีสติ และเดินหน้าต่อไป สิ่งดี ๆ ก็จะเข้ามาในชีวิตค่ะ

ทางออกจะอยู่ด้านขวาศาลเจ้าหลัก ต้องเดินผ่านออกไปทางจุดขายเครื่องราง ยันต์ และเซียมซีค่ะ

เมื่อออกมาจากโทริอิแล้วก็เดินไปตามทางเรื่อยๆ จนมาถึงสามแยก เลี้ยวขวาเพื่อกลับไปทางฮาราจุกุ และเดินไปเรื่อย ๆ ผ่านถังเหล้าไปเรื่อย ๆ ไปจนเจอกับร้านขายของฝาก หรืออาหารอยู่ทางซ้ายมือ

ถ้ามีเวลาก็ลองแวะเข้าไปเลือกซื้อของฝากเฉพาะของศาลเจ้าเมจิได้ค่ะ สินค้ายอดนิยมของที่นี่จะมีทั้ง ถังเหล้าแบบมินิ(1620 เยน)และMEIJI JINGU SAICHUU(กล่องละ 6 ชิ้น 1200 เยน)เป็นขนมแป้งบาง ๆ สอดไส้ถั่วแดงกวน เป็นต้น

ICHIGO-CHAN ได้ไปศาลเจ้าเมจิสมใจแล้ว เหลือเวลาไปสนามบินอีกประมาณ 1 ชั่วโมงรีบไปเดินเล่นที่ฮาราจุกุดีกว่า

ผ่านออกมาจากโทริอิเพื่อกลับมาสู่「โลกมนุษย์」แล้วก็ข้ามสะพานไปทางซ้ายเลย

ที่ฮาราจุกุเราจะเดินไปย่านวัยรุ่นอย่าง「TAKESHITA STREET」จากนั้นเดินไปที่ KIDDY LAND ต่อด้วย ร้านOnitsuka Tiger และ NIPPON MADE กันค่ะ

ก่อนอื่นเราก็จะเดินทางไปที่ ย่านวัยรุ่นอย่าง「TAKESHITA STREET」หรือ ถนนทาเคชิตะ

ออกจากศาลเจ้าเมจิ ข้ามสะพานและไปทางซ้าย ข้ามทางม้าลายหน้าสถานีฮาราจุกุไปฝั่งตรงข้าม ไปเรื่อย ๆ และเดินลงดอยไปเรื่อย ๆ

ก็จะเจอถนนทาเคชิตะ「TAKESHITA STREET」อยู่ทางขวามือ ฝนกำลังตกหนักอยู่ถนนเลยโดนร่มบังไปหมดเลย

ร้านค้าในเส้นนี้จะเป็นร้านแนววัยรุ่นเรียงเต็มไปหมดทั้งแถบ

ทั้งร้านขายสินค้าของศิลปินญี่ปุ่นและเกาหลี ร้านเสื้อผ้าแฟชั่นสำหรับผู้หญิง BIC CAMERAขนาดเล็ก หรือร้าน「JAGA POKKURU」ที่เป็นร้านของ Calbee โดยเฉพาะ เป็นต้น

ร้านเครปที่「TAKESHITA STREET」ก็ได้รับความนิยมไม่น้อยเลย แค่ที่ถนนเส้นนี้ก็มีร้านเครปมากกว่าหลายสิบร้านเลย ร้านเครปแต่ละร้านก็จะมีทั้งเครปผลไม้ตามฤดูต่าง ๆ วิปครีมแบบอัดแน่น น่ากินไปหมดเลย

ถ้าฝนไม่ตกหนักขนาดนี้ก็คงได้ซื้อกิน เสียดายจัง

เมื่อผ่านถนนทาเคชิตะไปแล้ว ตรงข้ามเส้นนี้จะมีร้าน「New Balance」สาขาใหญ่อยู่ด้วย เป็นตึก 4 ชั้นที่เต็มไปด้วยสินค้าของ New Balance ส่วนร้านที่ถัดไปอีกหลายร้านก็คือ LINE FRIENDS ที่มีสินค้าต่าง ๆ ของคาแรคเตอร์ไลน์ ทั้งหมีบราว์นและกระต่ายโคนี้ นอกจากนี้ก็มีสินค้าของ BT21 ที่วงไอดอลเกาหลี BTS เป็นผู้ออกแบบด้วย ร้านนี้ได้รับความนิยมมากจนแขกล้นออกมานอกร้านเลย

ตรงจาก LINE FRIENDS ไปเรื่อย ๆ ข้ามแยกไฟแดงใหญ่ไปและเลี้ยวไปทางซ้าย เดินไปเรื่อย ๆ ประมาณหลายสิบเมตรก็จะเจอ「KIDDY LAND」อยู่ด้านขวามือ

ที่นี่มีขายทั้ง ริรัคคุมะ คิตตี้ หรือไข่ขี้เกียจที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ตอนนี้ด้วย ถ้าเข้าไปคงใช้เวลาช้อปปิ้งเป็นชั่วโมงแน่ ๆ เลย

จาก KIDDY LAND ข้ามสะพานทางเดินไป ข้ามถนนใหญ่(Omotesando)ไปอีก และเดินไปทางขวาก็จะเจอกับห้าง『OMOTESANDO HILLS』

เลี้ยวซ้ายที่ OMOTESANDO HILLS และเดินไปอีกซักพักก็จะเจอกับร้าน「ONITSUKA TIGER」เลยและข้าง ๆ คือร้าน「NIPPON MADE」ที่วางขายเฉพาะสินค้าโอนิสึกะที่ผลิตที่ญี่ปุ่นเท่านั้น มีแต่รุ่นพิเศษๆ ที่มีเพียงที่นี่เท่านั้น

ความจริงก็อยากจะเดินรอบ ๆ ฮาราจุกุให้มากกว่านี้ แต่ได้เวลาต้องเดินทางไปสนามบินนาริตะแล้ว

จาก Onitsuka Tiger เดินกลับไปทางถนนใหญ่(Omotesando)และเลี้ยวไปทางขวา จากนั้นตรงไปเรื่อย ๆ เดินขึ้นเนินไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอกับสะพานที่ศาลเจ้าเมจิ เลี้ยวขวาที่สะพานศาลเจ้าเมจิก็เจอ สถานีฮาราจุกุ เลย

วิธีเดินทางไปสนามบินนาริตะนั้น ก่อนอื่นจะต้องนั่งรถไฟสายยามาโนเตะ Yamanote Line จากสถานีฮาราจุกุ Harajuku Station เพื่อไปลงที่ชินางาวะก่อน จากนั้นจึงนั่ง นาริตะเอ็กซ์เพรส Narita Express ของ JR เพื่อไปสนามบินนาริตะ

เราสามารถซื้อตั๋ว Narita Express ได้ที่สถานีฮาราจุกุเลย แต่ที่จำหน่ายตั๋วจะอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย อยู่ที่「TAKESHITA GUCHI」หรือ ประตูทาเคชิตะ ของสถานีฮาราจุกุ

ยังไงก่อนอื่นซื้อตั๋วไปชินางะวะก่อนแล้วค่อยไปจัดการตั๋วที่จะนั่งต่อไปที่สนามบินนาริตะได้ภายในสถานีชินางะวะ เพราะฉะนั้นยังไม่ต้องกังวลไปค่ะ

ก่อนอื่นก็ต้องเช็คราคาตั๋วจากแผนผังสถานีรถไฟบนเครื่องจำหน่ายตั๋วก่อน ราคาตั๋วไปชินะงะวะจะอยู่ที่ 170 เยน กด「170」บนหน้าจอ และใส่เงิน เท่านี้ก็เรียบร้อย

เมื่อซื้อตั๋วแล้วก็ผ่านเครื่องตั๋วตรวจเข้าไป เดินขึ้นสโลป เพื่อไปที่ชานชาลาเลย

ขึ้นรถไฟที่มุ่งหน้าไป「ชิบุยะ・ชินะงะวะ」จากชานชาลาหมายเลข 1 ที่สถานีฮาราจุกุ

จะมีรถไฟที่จะหยุดถึงแค่สถานีระหว่างทางที่สถานีโอซากิ Osaki Station ด้วยเพราะฉะนั้นอย่าเผลอขึ้นผิดนะคะ

สถานีฮาราจุกุไปชินางาวะจะอยู่ห่างกัน 6 สถานี นั่งไป 15 นาที

Narita Express จากสถานีชินางะวะไปสถานีสนามบินนาริตะจะวิ่งออกจากชานชาลาเบอร์ 13

เมื่อลงจากสายยามาโนเตะแล้ว ขึ้นบันไดเลื่อนที่อยู่ด้านหน้าชานชาลาเพื่อขึ้นไปยังลานจุดนัดพบ เมื่อออกมาสู่จุดนัดพบแล้วให้เลี้ยวไปทางซ้าย และตรงไปเรื่อย ๆ เพื่อลงบันไดไปสู่ชานชาลาเบอร์ 13 14

ระหว่างทางไปชานชาลา 13 จะมีเครื่องจำหน่ายตั๋วสำหรับรถไฟด่วนพิเศษอยู่ทางเดินขวามือค่ะ สามารถใช้ตั๋วที่ซื้อจากฮาราจุกุมาคิดเงินเพื่อซื้อ

Narita Express ได้เลย

ก่อนอื่นก็กดเปลี่ยนภาษาหน้าจอเป็นภาษาอังกฤษ และกดไปที่「Limited Express Trains」จากนั้นเลือก「Fare Ticket and Reservation Seat」เมื่อกดแล้วก็ใส่ตั๋วที่ซื้อที่สถานีฮาราจุกุเข้าไปในช่องในวงกลมสีแดงตามรูปภาพที่ 4 เลย

ต่อไปเลือก「Narita Express」จาก 6 ตัวเลือก ต่อไปเลือกสถานีที่ต้องการลง หากต้องการไปสนามบินนาริตะก็เลือก「Narita Airport」เมื่อถึงขึ้นตอนนี้แล้วก็เลือกขบวนรถไฟและที่นั่งเท่านี้ก็เรียบร้อย

แนะนำให้เลือกที่นั่ง D ค่ะ เหตุผลเดี๋ยวเราจะมาบอกกันทีหลังนะคะ

และข้าง ๆ ที่จำหน่ายตั๋วจะมีร้านข้าวกล่อง「EKIBAN」ร้านเอกิเบ็นด้วยค่ะ

ICHIGO-CHAN ได้เที่ยวฮาราจุกุจนถึงเวลาเดินทางมาสนามบินเลยก็เลยต้องหาอะไรทานกันซักหน่อย ที่นี่มีข้าวกล่องหลากหลายแบบเลยทั้ง ข้าวกล่องโปเกม่อน(1100 เยน) ข้าวกล่องมากุโระกับไข่ปลาอิคุระ(1250 เยน)แต่ที่เราเลือกก็คือข้าวกล่องเนื้อย่าง(1350 เยน)

Narita Express จะวิ่งทุก ๆ 30 นาที เป็นรถไฟที่เชื่อมระหว่าง โตเกียว・ชินจุกุ สถานีหลัก ๆ ในเมือง หรือ โยโกฮาม่า กับสนามบินนาริตะ จากโตเกียวไปสนามบินนาริตะใช้เวลาเดินทาง 53 นาที โดยที่เราไม่ต้องเปลี่ยนสายใด ๆ สามารถนั่งยาวจากในเมืองไปสนามบินนาริตะได้เลย

ที่นั่งภายใน Narita Express จะเป็นที่นั่งสีแดงดำ แต่ละที่นั่งจะมีปลั๊กไฟเตรียมไว้ให้ และยังมีบริการ WIFI ภายในรถไฟด้วย ได้ชาร์ตแบตเอาไว้ก่อนขึ้นเครื่องบินก็ดีเหมือนกันนะ

เมื่อข้างต้นเราได้แนะนำไปว่าตอนจองตั๋วแนะนำให้จองที่นั่ง D เหตุผลก็เพราะว่า เราจะได้เห็นโตเกียวสกายทรี Tokyo Skytree นั่นเอง

ออกจากสถานีชินะงะวะก็จะเข้าอุโมงค์ไปซักพักก็จะถึงสถานีโตเกียว จากนั้นก็จะเข้าอุโมงค์ไปอีกรอบ เมื่อพ้นอุโมงค์ไปก็จะเห็นวิวสกายทรีอยู่ทางซ้ายมือทันทีเลย

ที่สนามบินนาริตะนี้ แต่ละสายการบินจะใช้เทอร์มินอลที่แตกต่างกันออกไป เช่น สายการบินตรงเพื่อไปกรุงเทพอย่างสายการบินไทยจะอยู่ที่เทอร์มินอลที่ 1ส่วนสายการบินญี่ปปุ่น JAL AirasiaX หรือ Scoot จะใช้เทอร์มินอลที่ 2เพราะฉะนั้นควรจะเช็คดูก่อนนะคะ ถ้าไปลงผิดเทอร์มินอลก็ต้องเสียเวลานั่งบัสที่เชื่อมระหว่างตึกเลยค่ะ

Narita Express มาถึงสนามบินนาริตะแบบตรงเวลา เที่ยวบินตอนเย็นที่สนามบินนาริตะส่วนใหญ่อย่างเที่ยวบิน TG677 จะใช้เครื่องบินขนาดใหญ่ อย่าง A380 ทำให้แถวยาวเป็นพิเศษเลย สำหรับผู้โดยสารชั้น Economy จะต้อง Self Check-in ด้วยตัวเองที่เครื่องก่อน จากนั้นก็ดึงป้ายแท็กกระเป๋ามาติดสัมภาระด้วยตัวเองด้วยค่ะ

ทริปในครั้งนี้เราเข้าประเทศมาจากนาโกย่า และเดินทางไปยัง ชิสึโอกะ ยามานาชิ เพื่อชมวิวภูเขาไฟฟูจิ จากนั้นก็ได้มาชมซากุระที่ในเมืองโตเกียวแบบบังเอิญมาก ๆ

ได้เห็นทั้งภูเขาไฟฟูจิ ซากุระ และโอสึที่นาโกย่า ต่อด้วยอุเอโนะที่โตเกียว และยังได้ไปชมโอชิโนะ ฮักไก หรือหมู่บ้านน้ำใสด้วย เป็นทริปที่เต็มอิ่มอัดแน่นมาก ๆ เลยค่ะ

นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็คงไปเที่ยวเมืองหลัก ๆ อย่างโอซาก้าหรือโตเกียวกัน แต่ในครั้งนี้เราได้พาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวที่ ชิสึโอกะ หรือนาโกย่าด้วย ได้เห็นเสน่ห์ของญี่ปุ่นในมุมต่าง ๆ ยังไงเพื่อน  ๆ ลองนำทริปเราไปเป็นตัวอย่างในการวางแผนการท่องเที่ยวได้นะคะ

แล้วพบกันใหม่ในทริปต่อไปนะคะ♪

【ตารางเดินทางวันนี้】

        Go to the top Page        

  ◀ BACK