เที่ยวด้วย Pass สุดคุ้ม
ของเราคือ รีวิวการท่องเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง
ติดตามรีวิวของแต่ละวันในทริป
พร้อมตารางการเดินทาง ค่าใช้จ่าย และ Pass ต่างๆ
Day3-2 เที่ยวชม “วัดคุรามะ” และ “ศาลเจ้าคิฟุเนะ” ภายในภูเขาคุรามะของเกียวโต
OSAKA-KYOTO-KURAMA-UJI-OSAKA
ICHIGO-CHAN ได้เดินทางออกจากโรงแรมเปิดใหม่เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมากับโรงแรม「HOTEL KEIHAN KYOTO HACHIJO」จากนั้นก็ได้นั่งรถไฟคินเท็ตสึ・รถไฟเคฮัง และนั่ง “รถไฟเอซัง”「EIZAN RAILWAY(叡山電車)」ที่เชื่อมระหว่างสถานีปลายทางของรถไฟเคฮังที่ สถานีเดมาจิยานางิ กับ ภูเขาคุรามะ และตอนนี้ก็ได้เดินทางมาที่ “คุรามะ” เป็นที่เรียบร้อย
Day3-1 เดินทางจาก HOTEL KEIHAN KYOTO HACHIJO ไปยัง “วัดคามาคุระ”
ใช้เวลาในการเดินทางจาก “เดมาจิยานางิ” ประมาณ 30 นาทีเท่านั้น ถึงแม้ว่าคุรามะแห่งนี้จะอยู่ห่างจากในเมืองเพียง 12 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ก็ได้สัมผัสบรรยากาศทุ่งนาของญี่ปุ่น เป็นบริเวณที่สามารถเพลิดเพลินกับบรรยากาศฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาวได้อย่างเต็มที่
การท่องเที่ยวสุดคุ้มด้วย「KYOTO-OSAKA SIGHTSEEING PASS」ในตอนที่ 12 นี้ ICHIGO-CHAN จะพาเพื่อนๆ ท่องเที่ยวภายใน “วัดคุรามะ”「KURAMA TEMPLE(鞍馬寺)」 และ “ศาลเจ้าคิฟุเนะ”「KIFUNE JINJA(貴船神社)」 กันค่ะ
เมื่อลงรถไฟที่ “สถานีคุรามะ”「KURAMA STATION」แล้วก็เดินตรงไปตามทางด้านหน้าเรื่อยๆ จากนั้นก็เลี้ยวซ้ายที่สามแยก ก็จะเจอประตูนิโอมงของวัดคุรามะอยู่ตรงหน้าเลย ซึ่งประตูนี้ถือเป็นประตูที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์และสถานที่คุ้มภัยศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง โดยประตูนิโอมงนี้ส่วนใหญ่ถูกสร้างใหม่ตั้งแต่ปีพ.ศ.2454 แต่มีแค่เพียงประตูทางฝั่งซ้ายมือเท่านั้นที่เป็นของตั้งแต่ปีพ.ศ.1725 เมื่อ 800 ปีก่อน และที่น่าตกใจคือเป็นประตูที่ทำจากไม้ด้วยค่ะ
และที่บริเวณประตูนิโอมงนี้จะมีเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว ซึ่งการจะผ่านเข้าไปต้องชำระค่าเข้าวัด(ค่ารักษา)300 เยน เมื่อจ่ายแล้วก็เข้าไปข้างในกันเลย
ซึ่งทางเดินจากประตูนิโอมง ไปยังอาคารวัดหลักจะเป็นทางบันได ที่ใช้เวลาเดินขึ้นประมาณเที่ยวละ 30 นาที ซึ่งหากพูดว่า 30 นาที หลายๆ คนอาจจะไม่รู้สึกอยากเดินเลยใช่ไหมคะ แต่ก็ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะว่าระหว่างทางจะมีสถานที่ให้เที่ยวชมอยู่มากมายอย่างเช่น “ศาลเจ้ายูกิ” และเมื่อเดินผ่านประตูนิโอมงมาก็จะเป็นบันไดหินที่ทั้งสองข้างทางมีโคมไฟสีแดงแบบญี่ปุ่นเรียงรายอยู่ตลอดทางสวยงาม เป็นมุมถ่ายรูปที่ดีเลยค่ะ แค่ในช่วงเวลาปกติก็เป็นมุมถ่ายรูปที่สวยแล้ว
ยิ่งเมื่อเข้าสู่ช่วงซากุระในฤดูใบไม้ผลิ และช่วงใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง ยิ่งเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวทั้งคนญี่ปุ่น และชาวต่างชาติมาท่องเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ในช่วงฤดูหนาวที่บริเวณนี้จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะที่ขาวโพลนเป็นบรรยากาศที่สวยงามเช่นกันค่ะ
และสำหรับเพื่อนๆ ที่คิดว่าไม่สามารถเดินขึ้นเขาเป็นเวลา 30 นาทีได้ ก็นั่งเคเบิ้ลคาร์จาก “ฟุเมียวเด็น (FUMYOUDEN:普明殿)” ที่อยู่บนประตูนิโอมง เพื่อเดินทางไปยัง “ทะโฮโต (TAHOUTOU 多宝塔)” ที่อยู่ใกล้ “คนโด” หรืออาคารวัดโดยใช้เวลาในการเดินทางเพียง 2 นาทีเท่านั้น
ค่าเดินทาง 200 เยน สามารถซื้อตั๋วได้ที่เครื่องจำหน่ายตั๋วที่ “ฟุเมียวเด็น (FUMYOUDEN:普明殿)” ได้เลย
และเมื่อเดินผ่านทางเดินหินไปซักพักก็จะเจอ “ศาลเจ้ายูกิ”「YUKI JINJA(由岐神社)」เป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของภูเขาคุรามะ ซึ่งเดิมทีศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งอยู่ที่พระราชวังหลวงเกียวโต(ที่ประทับของจักรพรรดิ) แต่ก็ได้ถูกย้ายมายังสถานที่แห่งนี้เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายของบ้านเมือง เมื่อ 1000 กว่าปีก่อน และจุดที่เป็นเสน่ห์ของสถานที่แห่งนี้ก็คือ ต้นสนซุงิ ขนาดใหญ่ ความสูง 53 เมตร ที่มีอายุมากกว่า 800 ปี และคนเกียวโตนั้นมีความเชื่อว่าหากได้ขอพรที่ต้นไม้ “โอซุงิซัง” นี้ พรนั้นก็จะสมหวังอีกด้วย
เดินไปตามทางเดินวัดไปเรื่อยๆ ท่ามกลางธรรมชาติป่าเขาที่อุดมสมบูรณ์ประมาณ 30 นาที ตอนนี้ก็ได้เดินทางมาที่อาคาร “คนโด” เป็นที่เรียบร้อย และที่บริเวณด้านหน้าอาคารนี้จะมีลาย「ROKUBOUSEI(六芒星)」ทรงหกเหลี่ยมอยู่ที่พื้น และมีความเชื่อว่าหากได้ยืนอยู่ตรงกลางจุดนั้นก็จะได้รับ “พลัง” ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในวัด ซึ่งในช่วงวันหยุดอาจต้องยืนรอต่อแถวเพื่อยืนที่จุดนี้กันเลยค่ะ
ในส่วนภายในอาคาร “คนโด” (จะเป็นส่วนที่ห้ามถ่ายภาพ) นอกจากจะสามารถอธิษฐานขอพรแล้ว ยังมีทั้งเซียมซี เครื่องรางชนิดต่างๆ หรือแผ่นยันต์ให้ได้เลือกซื้ออีกด้วย
และจุดที่ไม่ควรพลาดอีกหนึ่งจุดในวัดคุรามะก็คือ “อะอุนโนะโทระ”「A UN NO TORA(阿吽の虎)」ซึ่งศาลเจ้าหรือวัดทั่วไปส่วนใหญ่แล้วจะมีรูปปั้น “โคมะอินุ”「KOMAINU(狛犬)」(สุนัข) แต่ที่วัดคุรามะแห่งนี้จะเป็น “เสือ” โดยเสือที่วัดคุรามะนี้ก็คือสัตว์รับใช้ของ「ท้าวเวสวัณ」หนึ่งในพระประทานที่อยู่ในวัดคุรามะ และถูกให้ความสำคัญเป็นอย่างมากโดยเฉพาะที่ภูเขาคุรามะแห่งนี้
หลังจากที่เพลิดเพลินกับ “วัดคุรามะ” แล้ว หลังจากนี้เราจะเดินทางไปยังอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของภูเขาคุรามะที่ “ศาลเจ้าคิฟุเนะ”「KIFUNE JINJA(貴船神社)」กันค่ะ
โดยการเดินทางจากวัดคุรามะไปยังศาลเจ้าคุฟุเนะจะต้องเดินป่าเป็นระยะทาง 2 กิโลเมตร ที่อาจต้องใช้เวลานานถึง 2 ชั่วโมง แต่จะเป็นการเดินเขาที่ค่อนข้างจริงจังเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นจะต้องเตรียมความพร้อมให้ดีก่อนนะคะ
โดยปกติแล้วเพื่อนๆ จะต้องเดินกลับไปที่สถานีคุรามะก่อน จากนั้นก็นั่งรถไฟเอซังไปที่ สถานี Kibuneguchi Station ต่อด้วยรถบัส หรือสามารถเดินเท้าไปได้เช่นกัน ค่าเดินทางจากสถานีคุระมะ ไปยังสถานีคุบุเนะกูจิ จะอยู่ที่ 210 เยน เมื่อใส่เงินเข้าไปในเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติแล้ว ก็กดปุ่ม 210 เลย เท่านี้ก็เรียบร้อย
ด้านหน้าสถานีคุรามะ ที่ให้บรรยากาศแบบเรโทรนี้ จะมีสัญลักษณ์ของคุรามะกับรูปปั้นหน้ากากแดงจมูกยาว “เท็งงุ”「TENGU(天狗)」อยู่อีกด้วย และเราจะนั่งรถไฟจากสถานีคุรามะ ไปสถานีคิบุเนะกุจิ เพียง 1 สถานี ใช้เวลา 3 นาทีเท่านั้น โดยในวันธรรมดารถไฟจะวิ่งชั่วโมงละ 3 เที่ยว ส่วนวันเสาร์อาทิตย์จะวิ่งชั่วโมงละ 4 เที่ยว เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องตารางเวลาเลยค่ะ
ระยะทางจากสถานีคิบุเนะกุจิ ไปยังศาลเจ้าคิฟุเนะ จะห่างกัน 2 กิโลเมตร ถึงแม้ว่าจะเป็นระยะทางที่สามารถเดินได้ แต่ก็ต้องใช้เวลาประมาณ 30 นาที เพราะฉะนั้นสำหรับใครที่อยากออมแรง หรือประหยัดเวลา ก็สามารถนั่งรถบัสไปได้เลย
โดยรอบวิ่งรถบัสก็จะวิ่งพอๆ กับรถไฟเอซัง คือ วันธรรมดาวิ่งชั่วโมงละ 3 เที่ยว ส่วนวันเสาร์อาทิตย์จะวิ่งวันละ 4 เที่ยว
เดินออกจากสถานีไปทางซ้ายมือก็จะป้ายรถบัสเลย
ค่าเดินทางจากสถานีคิบุเนะกุจิ ไปยังป้ายบัส “คิฟุเนะ”「KIFUNE(貴船)」ใกล้ศาลเจ้าคิฟุเนะมากที่สุด จะอยู่ที่ 160 เยน โดยรถบัสนี้จะคิดเป็นค่าเดินทางต่อครั้ง ครั้งละ 160 เยนเพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องหยิบตั๋วรถบัสขณะขึ้นรถเลยค่ะ โดยขึ้นรถบัสจากประตูหลัง และลงรถบัสจากประตูหน้า สามารถชำระเงิน 160 เยนใส่กล่องชำระเงินข้างคนขับได้ขณะลงรถบัสเลย
ซึ่งเครื่องชำระเงินนี้จะไม่มีระบบทอนเงิน เพราะฉะนั้นหากใครไม่มีเหรียญครบตามจำนวนก็สามารถแลกได้ที่เครื่องแลกเงินที่ติดอยู่กับเครื่องชำระเงินได้เลย
ป้ายบัสคิฟุเนะ จะอยู่ห่างจากศาลเจ้าคิฟุเนะเพียงเดินเท้า 5 นาทีเท่านั้น โดยจะต้องเดินไปตามทางเดินเรียบแม่น้ำ และมีร้านค้าต่างๆ เรียงรายอยู่มากมาย ทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือร้านจำหน่ายของฝาก แปปเดียวเท่านั้นก็มาถึงหน้าทางขึ้นศาลเจ้าอยู่ทางด้านซ้ายมือ ที่มีโทริอิขนาดใหญ่เรียกว่า “นิโนะโทริอิ”「NINOTORII(二の鳥居)」ให้ผ่านโทริอินี้ไปและเดินขึ้นไปทางบันไดหินเลย
เมื่อลอดผ่าน “นิโนะโทริอิ”「NINOTORII(二の鳥居)」ไปแล้วทางเดินระหว่างทางจะเป็น “ทางเดินบันไดหิน” ซึ่งเป็นมุมที่เปรียบเสมือนตัวแทนของ『ศาลเจ้าคิฟุเนะ』 ที่ให้บรรยากาศความเป็นเกียวโต สามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามโปสเตอร์ หรือนิตยสารต่างๆ
และทั้งสองข้างทางบันไดหินนี้จะมีโคมไฟสีแดงที่ชื่อว่า “คะสึกะโดโร”「KASUGADOUROU(春日灯篭)」ประดับอยู่ตลอดทาง เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของศาลเจ้าแห่งนี้ที่ไม่สามารถสัมผัสได้ที่อื่น
ถึงแม้ว่าศาลเจ้าแห่งนี้จะเป็นศาลเจ้าที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี แต่ช่วงฤดูที่สวยงามเป็นพิเศษเลยก็คือ “ใบไม้เปลี่ยนสี” ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง และช่วง “หิมะ” ในฤดูหนาวนั่นเอง
โดยในช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน ไปจนถึงเวลาประมาณ 20:00 น. จะเป็นช่วงเปิดดวงไฟในโคมไฟงดงามเกินคำบรรยายเลยทีเดียว
และเมื่อเดินขึ้นมาตามบันไดหินที่มีโคมไฟ “คะสึกะโดโร” ประดับอยู่สองข้างทางมาแล้ว ก็จะเจออาคารหลักศาลเจ้าเลย และที่บริเวณด้านซ้ายมือจะมีที่ชำระล้างร่างกายอยู่ ก่อนอื่นเราจะไปล้างมือกันก่อน แล้วค่อยไปที่อาคารหลักศาลเจ้ากันค่ะ
โดยมีวิธีการล้างมือชำระล้างร่างกายดังนี้
1.ถือกระบวยด้วยมือขวา และตักน้ำให้เต็ม จากนั้นน้ำมาล้างมือซ้าย
2.เปลี่ยนมือที่ถือกระบวยเป็นข้างซ้าย และล้างมือขวา
3.เปลี่ยนมาถือกระบวยมือขวาอีกรอบ เทน้ำใส่มือซ้ายพอประมาณ และทำการบ้วนปาก
4.ล้างมือซ้ายอีกรอบ
5.ตั้งกระบวยขึ้น โดยหันหน้ากระบวยเข้าตัว เพื่อให้น้ำไหลลงไปล้างที่จับกระบวย วางกระบวยไว้ที่เดิม เท่านี้ก็เรียบร้อย
จากนั้นก็ไปกราบไหว้อาคารหลักศาลเจ้ากันเลย อาคารหลักศาลเจ้าแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อ 150 กว่าปีก่อน ทำจากไม้สนฮิโนคิที่มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นกลิ่นหอมๆ ของไม้สนเลย
โดยเมื่อมาที่บริเวณหน้าศาลเจ้าหลัก(ที่มีระฆังและกล่องทำบุญอยู่หน้าอาคาร) โค้งคำนับเล็กน้อย 1 ครั้ง และโยนเหรียญใส่กล่องทำบุญ(ตามจิตศรัทธา โดยปกติประมาณ 5-50 เยน)จากนั้นสั่นสายระฆังที่ห้อยลงมา และทำการ
โค้งคำนับ 2:โค้งคำนับไปทางศาลเจ้า 2 ครั้ง
ปรบมือ 2:ปรบมือ 2 ครั้ง
โค้งคำนับ 1:อธิษฐานในใจ และโค้งคำนับอีก 1 รอบ
และที่บริเวณด้านข้างอาคารหลักศาลเจ้าจะมีมุมเซียมซีที่เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของศาลเจ้าคิฟุเนะแห่งนี้กับ “มิซึอุระมิคุจิ”「MIZUURAMIKUJI(水占みくじ)」(200 เยน)
โดยใส่เงินเข้าไป 200 เยน จากนั้นก็หยิบเซียมซี “มิซึอุระมิคุจิ”「MIZUURAMIKUJI(水占みくじ)」มาหนึ่งอัน และนำเซียมซีนี้ไปลอยน้ำที่บ่อน้ำธรรมชาติ “จินซุย”「JINSUI(神水)」(เทพเจ้าแห่งน้ำ) เพื่อให้ตัวหนังสือปรากฏขึ้นมาบนเซียมซี
เมื่อลอยเซียมซี “มิซึอุระมิคุจิ”「MIZUURAMIKUJI(水占みくじ)」บนผิวน้ำไปซักพักตัวหนังสือที่ถูกเขียนอยู๋บนเซียมซีก็จะปรากฏขึ้นมา จากที่เป็นเพียงกระดาษที่มีช่องว่างเท่านั้น เป็นเซียมซีที่มหัศจรรย์มากๆ และข้อความที่ปรากฏขึ้นมาในส่วนวงกลมก็คือ การบอกโชคที่ได้ ส่วน ICHIGO-CHAN ได้คำว่า「中吉」ที่แปลว่า “โชคดีปานกลาง” ค่ะ ซึ่งที่นี้จะมีระดับการบอกโชคอยู่ 5 ระดับคือ「大吉:โชคดีมาก・吉:โชคดี・中吉:โชคดีปานกลาง・小吉:โชคน้อย・凶:โชคไม่ดี」ซึ่ง 「中吉:โชคดีปานกลาง」ที่ได้จะอยู่ตรงกลางพอดีเลยค่ะ และมีความเชื่อว่าหากจับเซียมซีได้นอกจาก “大吉:โชคดีมาก” ก็สามารถผูกเซียมซีนี้ไว้ที่บริเวณมุมหนึ่งของศาลเจ้าเอาไว้ก็จะช่วยให้มีโชคเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
หลังจากที่ได้เที่ยวชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ “วัดคุรามะ” และ “ศาลเจ้าคิฟุเนะ” ที่มีทั้งเซียมซีลอยน้ำเซียมซี “มิซึอุระมิคุจิ”「MIZUURAMIKUJI(水占みくじ)」และทางเดินโคมไฟสีแดงสวยงามแล้ว ต่อไปเราจะมุ่งหน้าไปที่「BYODOIN-HOUOUDO(平等院鳳凰堂)」ใน อุจิ ของเกียวโต เป็นสถานที่โด่งดังที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเคยได้เสด็จมาที่แห่งนี้
ในตอนต่อไปเราจะพาเพื่อนๆ เดินทางไปยัง “อุจิ” เพื่อท่องเที่ยว「BYODOIN-HOUOUDO(平等院鳳凰堂)」กันค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะ♪
【ตารางการเดินทาง Day3-2 KURAMA TEMPLE/KIBUNE SHRINE】