ROUND THE C・H・I
ของเราคือ ริวีวการท่องเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง
ติดตามรีวิวของแต่ละวันในทริป
พร้อมตารางการเดินทาง ค่าใช้จ่าย และ Pass ต่างๆ
Day1-1 เริ่มออกเดินทางจากท่าอากาศยานนาริตะ นั่งรถไฟมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองโตเกียว เพื่อไปยังจุดมุ่งหมายแรกที่ “ย่านอาซากุสะ ASAKUSA”
TOKYO-FUJI-KAWAGUCHIKO-TOKYO
เริ่มออกเดินทางจากท่าอากาศยานนาริตะ นั่งรถไฟมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองโตเกียว เพื่อไปยังจุดมุ่งหมายแรกที่ “ย่านอาซากุสะ ASAKUSA”
สถานที่ท่องเที่ยวหลักในทริปนี้ก็คือ สถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ของญี่ปุ่น “ภูเขาไฟฟูจิ” ที่มีความสูงถึง 3776m ด้วยความสูงนี้ทำให้นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปชมความสวยงามของภูเขาไฟฟูจิจากที่ไกลๆ อย่าง “คาวากุจิโกะ” “โกะเท็มบะ” หรือ “ฮาโกเนะ” กันเป็นจำนวนมาก ถึงแม้ว่าวิวโดยรวมที่มองจากสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมต่างๆ ก็สามารถสร้างความตื่นตาให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งหลายแล้ว แต่ในครั้งนี้เราจะปีนขึ้นไปบนยอดภูเขาฟูจิที่เป็นสัญลักษณ์ของญี่ปุ่นนี้กันเลย
โดยก่อนอื่นเราจะเดินทางไปยัง “โตเกียว” ที่เป็นเมืองหน้าด่านของ “ประเทศญี่ปุ่น” ก่อน
และในวันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปท่องเที่ยวในโตเกียว จากนั้นมุ่งหน้าไปภูเขาฟูจิตั้งแต่เช้าและใช้เวลาปีนภูเขาและอยู่บริเวณภูเขาฟูจิเป็นเวลา 2 วัน และเดินทางกลับประเทศไทยค่ะ
ก่อนอื่นเราจะเริ่มทริปกันที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งเที่ยวบินไปญี่ปุ่นจากสนามบินดอนเมือง มีดังนี้
สายการบินแอร์เอเชีย AIR ASIA
ซัปโปโร SAPPORO วันละ 1เที่ยว
นาริตะ NARITA วันละ 2 เที่ยว
คันไซ KANSAI วันละ 1 เที่ยว
สายการบิน SCOOT(NOKSCOOT)
นาริตะ NARITA วันละ 2 เที่ยว
คันไซ KANSAI อาทิตย์ละ 1 เที่ยว
เที่ยวบินรวมทั้งหมดมากกว่า 6 เที่ยวต่อวัน ถือว่าเยอะพอๆ กับเที่ยวบินในจังหวัดภายในประเทศเลยค่ะ ซึ่งครั้งนี้เราไม่ได้เลือกบินที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกับสายการบินไทย ANA หรือ JAL โดยสาเหตุหลักๆ ที่เราเลือกบินที่สนามบินดอนเมืองก็เพราะราคาตั๋วเลยค่ะ เดือนมิถุนายนนี้ได้มีการเพิ่มเที่ยวบินและมี「โปรโมชั่นลดราคาชั่วเพิ่มเที่ยวบิน」เราจึงได้ตั๋วในราคา 2990 ต่อเที่ยวเดียว ซื้อเมื่อรวมราคาตั๋วไปกลับบวกภาษีแล้วก็ราคาประมาณ 8000 บาทเท่านั้น
สนามบินดอนเมืองที่เคยเป็นสนามบินหน้าด่านของกรุงเทพมาก่อนสนามบินสุวรรณภูมิ และเคยบปิดให้บริการไปช่วงหนึ่ง ซึ่งตอนนี้เมื่อมีสายการบินราคาประหยัดเปิดให้บริการก็ทำให้มีนักท่องเที่ยวมากมายมาใช้บริการที่นี่ จะเห็นได้ชัดเจนจากแถวเช็คอินเคาน์เตอร์ที่ยาวเหยียด ซึ่งครั้งนี้เราได้ใช้ “เทคนิคพิเศษ” ทำให้สามารถเช็คอินได้ที่เคาเตอร์ของ BUSSINESS CLASS ใช้เวลาเพียงแปปเดียวเท่านั้น ซึ่งเราจะอธิบายให้เพื่อนๆ ทีหลังนะคะ และถ้าต่อแถวธรรมดาก็คงใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมง แน่นอนเลยค่ะ ควรจะเผื่อเวลาไปเยอะๆ เลยค่ะ
สายการบิน SCOOT ระหว่างประเทศที่เราใช้บริการในครั้งนี้ จะปิดเคาน์เตอร์เช็คอินก่อนเวลาบิน 1 ชั่วโมง ในบางกรณีถึงแม้ว่าจะต่อแถวอยู่แต่ถ้าถึงเวลาเคาน์เตอร์ก็จะปิดทันที เฉพาะฉะนั้นถ้าใกล้ถึงเวลาแล้วควรสอบถามพนักงานดูนะคะ เพื่อความปลอดภัย
สายการบิน SCOOT ที่บินจากสนามบินดอนเมืองไปสนามบินนาริตะจะบินวันละ 2 เที่ยว คือ เที่ยวบิน TR868 และ XW102 ที่จะออกจากดอนเมืองตอนค่ำ และถึงญี่ปุ่นในตอนเช้า
ซึ่งเที่ยวบิน TR868 ที่ ICHIGO-CHAN นั่งจะเป็นเที่ยวบินจากสิงค์โปร์พักเครื่องที่ดอนเมือง เพื่อบินต่อไปยังสนามบินนาริตะ แต่เครื่องดีเลย์ตั้งแต่ออกจากสิงคโปร์ประมาณ 1 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นเราก็จะได้ออกจากสนามบินดอนเมืองช้าไปอีก 1 ชั่วโมงเช่นกันค่ะ
ซึ่ง SCOOT นี้จะสามารถอัพเกรดที่นั่งได้ในกรณีเมื่อที่นั่ง「SCOOT BIZ」ของ BUSSINESS CLASS ว่าง ก็จะมีเมลส่งมาก่อนวันบิน โดยสามารถอัพเกรดดำเนินการแบบการประมูล เส้นทางกรุงเทพ-ญี่ปุ่น ในราคาต่ำที่สุด 2500 บาท(ขึ้นอยู่กับเที่ยวบิน)ซึ่งครั้งนี้ ICHIGO-CHAN ลองประมูลส่งราคาไปแพงขึ้นนิดหน่อยจากราคาต่ำสุดเป็น 2520 บาท ก็ได้อัพเกรดด้วยค่ะ เมื่อดำเนินการอัพเกรดสำเร็จทาง SCOOT BIZ ที่จองไว้ก็จะถูกอัพน้ำหนักประเป๋าที่โหลดเป็น 30kg พร้อมอาหาร 1 มื้อ และสามารถขึ้นเครื่องได้ก่อนใคร เราจ่ายเพิ่มเพียง 2520 บาทก็ได้นั่ง ที่นั่งของ SCOOT BIZ ที่สบายมากๆ เลย
เมื่อเช็คอินเรียบร้อยแล้วก็ไปเช็คกระเป๋า และผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่เกทกันเลย ภายในสนามบินดอนเมืองที่มีรอบบินจำนวนมากเกือบพอๆ กับสนามบินสุวรรณภูมินี้ จะมีทั้งร้านปลอดภาษี และร้านอาหารอยู่มากมาย ทั้งร้าน S&P, สตาร์บัคส์, แมคโดนัล หรือ ซับเวย์ ฯลฯ อีกมากมาย ซึ่งแต่ละร้านจะเปิดทำการถึง 23.00 หรือ 24.00 น. เลยทีเดียว ยิ่งถ้าเป็นแมคโดนัลจะยิ่งปิดดึกเลยค่ะ
โดยปกติแล้วเครื่อง B787 จะเป็นที่นั่ง 3-3-3 รวมเป็น 9 แถว แต่ ScootBiz จะเป็นที่นั่ง 2-3-2 รวมเป็น 7 แถว เป็นที่นั่งขนาดใหญ่ที่ถ้าเมื่อเทียบกับ ANA, JAL หรือ TG แล้วก็คงเหมือนที่นั่งแบบ BUSSINESS CLASS หรือ PREMIUM・ECONOMY นั่งสบายมากๆ ซึ่งที่ปลายเท้ามีที่พักเท้าด้วย นอกจากนี้ยังมีบริการปลั๊กไฟและทีวีให้ชมฟรีอีกด้วย ถ้าคิดดูแล้ว ตั๋วราคาเที่ยวละ 5000 บาท แถมยังรวมค่าฝากกระเป๋าด้วยแล้ว ถือว่าได้ “บินคุ้ม” จริงๆ เลยค่ะ
ScootBiz นี้จะมีอาหารและเครื่องดื่มมาเสริฟ์ให้ด้วย ถึงแม้ว่าจะเสิร์ฟหลังจากเครื่องขึ้นซักพักแต่ก็เป็นเวลาตี 2 ถ้าใครยังไม่อยากทานก็สามารถแจ้งพนักงานให้มาเสริฟ์ตามเวลาที่ต้องการได้ แต่จะต้องไม่เกิน 90 นาทีก่อนเครื่องลงจอดนะคะ เมนูอาหารก็สามารถเลือกจากเมนูที่จำหน่ายอยู่ในระดับ ECONOMY CLASS แต่อาจมีกรณีที่ของหมดหรือไม่ได้เตรียมเอาไว้ เพราะฉะนั้นอย่าลืมเลือกเผื่อเอาไว้ด้วยนะคะ
เมื่อขึ้นไปบนเครื่องแล้ว ก็จะได้รับใบตรวจคนเข้าเมืองและใบศุลกากร เราจำเป็นจะต้องเขียนสองใบนี้ดีๆ จะได้ไม่มีปัญหาตอนเข้าประเทศค่ะ ถ้าเขียนที่อยู่มั่วๆ ก็อาจจะได้เปิดเช็คสัมภาระกันยกใหญ่เลยล่ะค่ะ เพราะฉะนั้นตั้งใจเขียนข้อมูลให้ครบและเขียนให้เป็นระเบียบนะคะ ในส่วนของเบอร์โทรติดต่อกลับ ถ้าเป็นเบอร์ไทยก็ตัด 0 ที่อยู่ด้านหน้าออกและใส่ +66 แทน เช่น เบอร์ 081-234-5678 ให้เขียนเป็น +66-1-234-5678
เดินทางออกจากกรุงเทพมาเป็นเวลา 6 ชั่วโมง ตอนนี้เราก็นั่ง ScootBiz มาถึงท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งขามาเครื่องดีเลย์ไป 1 ชั่วโมงก็เลยถึงดีเลย์ไป 45 นาที เทอร์มินอลสนามบินนาริตะจะมีทั้งหมด 3 ตึก โดยสายการบิน SCOOT จะลงจอดเทอร์มินอลที่ 2 ของสนามบินนาริตะ ประตูผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ「B」หากมีคนมารอรับก็สามารถแจ้งไปได้ตามนี้เลยค่ะ
เมื่อออกมาจากประตูทางออกผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศแล้วก็จะเจอเคาน์เตอร์ทั้งหมด 3 ชนิดคือ
- JR
- รถไฟ KEISEI
- ลีมูซีนบัสของสนามบิน
ที่เป็นจุดซื้อตั๋วเส้นทางการคมนาคมหลักๆ เพื่อเดินทางไปในเมืองโตเกียว โดยที่
JR สามารถมุ่งหน้าไปสู่ในเมืองโตเกียว ・ชินะงาวะ・ชินจุกุ・โยโกฮาม่า
รถไฟ KEISEI สามารถมุ่งหน้าไปสู่โตเกียวทางฝั่งตะวันออกอย่าง อุเอโนะ・อาซากุสะ
ส่วนรถบัสลีมูซีน สามารถมุ่งหน้าไปสู่โรงแรมต่างๆ ภายในเมืองได้ สามารถเลือกใช้บริการได้ตามความชอบและความเหมาะของแต่ละคนเลยค่ะ
ซึ่งครั้งนี้ ICHIGO-CHAN จะมุ่งหน้าไปที่ “อาซากุสะ ASAKUSA” เป็นที่แรกเพราะฉะนั้นเราจึงเลือกเดินทางด้วย รถไฟ KEISEI ด้วยรถไฟด่วนพิเศษสกายไลเนอร์ Skyliner ที่สามารถนั่งไป「AMEYOKO」หรือ「TAKEYA」และ “อุเอโนะ” ช่วงซากุระฤดูใบไม้ผลิ ในระยะเวลา 41 นาที ค่าโดยสารรถไฟด่วนพิเศษสกายไลเนอร์ Skyliner จะอยู่ที่ 2470 เยน แต่เรามีตั๋วดีๆ มาแนะนำกับโปรดีๆ สำหรับนั่งท่องเที่ยวต่างชาติเท่านั้น เมื่อซื้อตั๋วรถไฟด่วนพิเศษสกายไลเนอร์ Skyliner คู่กับ 「Tokyo Subway 24 Hours Ticket」(ราคาปกติ 800 เยน)ที่สามารถนั่งรถไฟที่เป็นการคมนาคมหลักของโตเกียว ทั้งโตเกียวเมโทร TOKYO METRO・TOEI SUBWAY ได้ไม่อั้น 24 ชั่วโมง พร้อมกันเพียงราคา 2800 เยน ได้ลดไปมากถึง 670 เยนเลยทีเดียว สามารถซื้อได้ที่เคาน์เตอร์ตั๋วรถไฟ KEISEI หน้าประตูทางออกผู้โดยสารค่าเข้าระหว่างประเทศ(เฉพาะเงินสดเท่านั้น)
และบริเวณใกล้ๆ ประตูทางออกผู้โดยสารค่าเข้าระหว่างประเทศ จะมีทั้งเคาน์เตอร์ขนส่งสัมภาระไปทั่วประเทศ, ATM ที่สามารถถอนเงินสดญี่ปุ่นจากบัญชีไทยได้อย่างง่ายดาย, เคาน์เตอร์บริการเช่า Wifi เราเตอร์, ตู้จำหน่ายซิมการ์ด หรือ สตาร์บัคด้วยค่ะ ถ้าเราเตรียมการพร้อมจากสนามบินนาริตะเลยก็สามารถออกเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างสบายใจหายห่วงเลยค่ะ
ออกจากประตูทางออกผู้โดยสารค่าเข้าระหว่างประเทศ ไปทางซ้ายมือ และลงบันไดเลื่อนมุ่งไปสู่ชั้นใต้ดิน สถานีรถไฟใต้ดิน ลงบันไดเลื่อนนี้ไปก็จะเจอสถานีสนามบินนาริตะเทอร์มินอล 2 ของรถไฟ JR・KEISEI ซึ่งที่ทางเข้าสถานีจะมีตู้ ATM ของ 「SEVEN BANK」 อยู่ถึง 2 เครื่อง สามารถถอนเงินระหว่างประเทศได้จากตู้นี้เลย ตู้ ATM ของเซเว่นแบงค์นี้รองรับภาษาไทยด้วย เพราะฉะนั้นกดได้ง่ายๆ หายห่วงเลยค่ะ
เราเข้าไปในอาคารสถานีกันเลย ด้านขวามือจะมีเครื่องจำหน่ายตั๋ว และเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วสีแดงของรถไฟ JR ส่วนด้านซ้ายมือ จะเป็นเครื่องจำหน่ายตั๋ว และเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วสีน้ำเงินจะเป็นของรถไฟ KEISEI ซึ่งที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วของ JR สามารถแลกตั๋ว JR-PASS สำหรับนักท่องเที่ยวที่สามารถใช้ท่องเที่ยวรอบญี่ปุ่นได้อย่างคุ้มราคา ดังนั้นจึงมีนักท่องเที่ยวมารอต่อแถวเป็นจำนวนมากเลย
แต่ครั้งนี้ ICHIGO-CHAN จะมุ่งหน้าไปที่ “อาซากุสะ” เป็นที่แรกเพราะฉะนั้นเราจะมุ่งหน้าไปฝั่งน้ำเงินของรถไฟ KEISEI กันเลยค่ะ
สำหรับใครที่ยังไม่ได้ซื้อตั๋วรถไฟจากเคาน์เตอร์หน้าประตูทางออกผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ก็ยังสามารถซื้อตั๋วได้ที่นี่ค่ะ เมื่อซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้วก็ผ่านเข้าช่องตรวจตั๋วที่อยู่ด้านซ้ายเครื่องจำหน่ายตั๋วไปเพื่อเข้าไปในสถานีเลย เมื่อผ่านช่องตรวจตั๋วมาแล้วก็จะเป็นทางเดินแยกเพื่อไปที่ชานชาลาหมายเลข 1 และชานชาลาที่ 3 ซึ่งรถไฟสกายไลเนอร์ จะต้องขึ้นรถไฟที่ชานชาลาหมายเลข 1 ที่อยู่ซ้ายมือ
สกายไลเนอร์จะวิ่งทุกๆ 40 นาที
โดยใช้เวลาเดินทางจากสนามบินนาริตะไปในตัวเมืองโตเกียว สถานีนิปโปริ ด้วยสายยามาโนเตะ YAMANOTE LINE โดยใช้เวลา 36 นาที และใช้เวลาเดินทาง 41 นาทีไปสถานีอุเอโนะ ซึ่งสนามบินนาริตะจะอยู่ห่างจากภายในตัวเมืองโตเกียวประมาณ 50km โดยรถไฟด่วนพิเศษสกายไลเนอร์จะวิ่งด้วยความเร็ว 160km ไปแปปเดียวเท่านั้นค่ะ
ถึงแม้ว่าระยะเวลาในการเดินทางจะไม่นานมากนัก แต่ก็มีส่วนเก็บสัมภาระ หรือปลั๊กไฟในแต่ละที่นั่งด้วย สิ่งที่น่าจะได้ใช้ประโยชน์มากที่สุดก็น่าจะเป็นปลั๊กไฟชาร์ตมือถือให้เต็มเพื่อเอาไว้ลงรูป หรือ ค้นหาข้อมูลระหว่างการท่องเที่ยว สามารถเสียบชาร์ตได้ทั่วไปเลยค่ะ
ที่นั่งรถไฟด่วนพิเศษสกายไลเนอร์ จะเป็นที่นั่ง Reclining Seat แบบเดียวกับที่นั่งของรถไฟระยะยาว ซึ่งที่นั่งรถไฟชินคันเซ็น หรือ ที่นั่งรถไฟด่วนพิเศษ จะเป็นที่นั่งที่สามารถหมุนเก้าอี้ได้ โดยเหยียบแป้นข้างที่นั่ง และดันเก้าอี้หมุนให้หันหน้าไปอีกด้านเท่านั้น หมุนหันหน้าไปหาเพื่อนๆ คุยกันได้เลยค่ะ สะดวกสุดๆ
หากได้นั่งรถไฟด่วนพิเศษสกายไลเนอร์แล้ว แนะนำให้นั่งที่นั่งฝั่งซ้ายมือนะคะ เพราะว่า ถ้าออกจากสนามบินนาริตะซักพักก็จะเป็นวิว เนินเตี้ยๆ ทุ่งหญ้าทุ่งนาแผ่ออกไปกว้างขวาง
ทั้งสองข้างทางจะมีทั้งห้างขนาดใหญ่ และแฟลตอยู่มากมาย นอกจากนี้ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับวิวทุ่งนาเขียวชอุ่มได้อีกด้วย รวมไปถึงแผงโซล่าเซลล์เพื่อรับพลังงานแสงอาทิตย์มากมายที่อยู่ข้างทาง
ประเทศญี่ปุ่นที่มีทรพยากรอยู่ไม่มากนี้ จะมีการติดตั้ง แผนกระดาน เราไว้ในพื้นที่ว่าง เหมือนในรูปบนขวามือ แผ่นกระดานนี้ก็คือ แผงโซล่าเซลล์เพื่อรับพลังงานแสงอาทิตย์นั่นเอง เมื่อออกจากสนามบินนาริตะมาประมาณ 20 นาที และข้ามแม่น้ำเอโดคาวะขนาดใหญ่ไปก็เข้าสู่โตเกียวเลย ผ่านสะพานที่คาดผ่านแม่น้ำเอโดคาวะมาก็จะเห็น「โตเกียวสกายทรี TOKYO SKYTREE」อยู่ทางซ้ายมือ
นั่งรถไฟมาซักเราก็เดินทางมาถึงสถานีอุเอโนะ UENO STATION รถไฟ KEISEI กันแล้วค่ะ ซึ่งการจะเดินทางไป “อาซากุสะ” นั่นจะต้องเปลี่ยนเป็นรถไฟโตเกียวเมโทร สายกินซ่า GINZA LINE ที่สถานีอุเอโนะ
ก่อนอื่นขึ้นบันไดเลื่อนที่อยู่ภายในชานชาลา เมื่อขึ้นมาแล้วก็ผ่านช่องตรวจตั๋วออกมา จากนั้นก็ตรงไปเรื่อยๆ เดินไปจนถึงทางเดินที่มีร้านสะดวกซื้อ แฟมิรี่มาร์ท FamilyMart อยู่ข้างทาง ให้ตรงเรื่อยๆ จนสุดทางและจะเจอบันไดสั้นๆ อยู่ซ้ายมือ ให้ลงบันไดนี้ไป
เมื่อลงบันไดมาแล้ว ก็จะเจอทางเดินยาวอยู่ซ้ายมือ ให้เดินไปตามทางเดินนี้เลย และเมื่อเดินไปซักพักก็จะเจอช่องตรวจตั๋วหมายเลข 1 อยู่ขวามือ และช่องตรวจตั๋วหมายเลข 2 อยู่ซ้ายมือ ให้ผ่านเข้าช่องตรวจตั๋วหมายเลข 2 ไปเลย ซึ่งรถไฟที่เราจะขึ้นต่อไปนี้สามารถใช้ตั๋ว「Tokyo Subway 24 Hours Ticket」ตั๋วที่สามารถนั่ง รถไฟโตเกียวเมโทร TOKYO METRO・รถไฟใต้ดินโตเกียว TOKYO SUBWAY ได้ไม่อั้นเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ที่เราซื้อคู่กับตั๋วรถไฟด่วนพิเศษสกายไลเนอร์ที่สนามบินนาริตะนั่นเอง
สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่ไม่มีบัตร「Tokyo Subway 24 Hours Ticket」หรือ IC CARD เช่น Suica และICOCA ก็จะต้องทำการซื้อตั๋วก่อนผ่านเข้าช่องตรวจตั๋ว
ซึ่งเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติจะอยู่ข้างขวาช่องตรวจตั๋วหมายเลข 1 เลย โดยก่อนอื่นจะต้องเช็คราคาตั๋วรถไฟจากบอร์ดแผนผังเส้นทางรถไฟที่อยู่บนเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ ซึ่ง “อาซากุสะ”จะอยู่ที่ 170 เยน จากนั้นกด「Language」ที่บนขวาหน้าจอ เพื่อเลือกภาษาเป็น “ภาษาไทย” และกดปุ่มตามขั้นตอน และเลือกราคาตั๋ว 170 เยนเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติของโตเกียวเมโทรส่วนใหญ่จะรองรับภาษา “ไทย” ด้วยเพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องการซื้อตั๋วเลยค่ะ
เมื่อผ่านช่องตรวจตั๋วเข้ามาแล้วก็ลงบันไดที่อยู่ตรงหน้าเพื่อลงไปที่ชานชาลา รถไฟโตเกียวเมโทร สายกินซ่า ของรถไฟที่มีสถานีปลายทางอาซากุสะ รถไฟทุกขบวนที่ออกจากชานชาลานี้จะเป็นรถไฟที่มุ่งหน้าไปสู่อาซากุสะทั้งหมด เพราะฉะนั้นรถไฟมาเมื่อไหร่ก็ขึ้นได้เลย โดยนั่งไปอาซากุสะ 3 สถานีใช้เวลาประมาณ 5 นาทีเท่านั้น เมื่อถึงสถานีอาซากุสะแล้วก็เดินไปตามทางเดินและขึ้นบันได จากนั้นผ่านออกจากช่องตรวจตั๋วที่อยู่ตรงหน้าเพื่อเดินไปทาง「วัดเซ็นโซ SENSOUJI・คามานาริมง KAMINARIMON」สถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ของอาซากุสะกันเลย
เราออกเดินทางจากไทยมาตั้งแต่เวลาไทยบ่าย 2 โมง(เวลาญี่ปุ่น 4 โมงเย็น)ตอนนี้ก็ผ่านไปประมาณ 8 ชั่วโมง และแล้วเราก็เดินทางมาถึงสถานที่แรกของเราที่ “อาซากุสะ” แล้วตื่นเต้นสุดๆ ไปเลย
นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่โตเกียวมากกว่าครึ่งก็คงไม่พลาด “อาซากุสะ” ที่มีทั้ง 「คามินาริมง」「วัดเซ็นโซ」หรือ「โตเกียวสกายทรี」นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่สามารถชม “คามินาริมง” ไปพร้อมๆ กับ “โตเกียวสกายทรี” ได้อีกด้วย จากนี้เราจะไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อเหล่านั้นกันค่ะ ฝากติดตามตอนหน้าด้วยนะคะ
【ตารางการเดินทาง Day1-1 BANKOK SUVANABHUMI AIRPORT/ASAKUSA STATION】