วิธีการใช้ตู้ล็อกเกอร์หยอดเหรียญ

01 Jul 2020
1566

เวลาท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น สิ่งหนึ่งที่มักจะเป็นปัญหาคือ จะทำอย่างไรกับสัมภาระดี?

ถ้าเช่ารถบัสหรือแท็กซี่เต็มวันเพื่อไปท่องเที่ยวก็คงจะไม่มีปัญหา แต่การท่องเที่ยวในญี่ปุ่นมักจะต้องใช้รถไฟหรือรถบัสสาธารณะเสียเป็นเป็นส่วนมาก

และโรงแรมก็ไม่เหมือนในไทยที่บางแห่งสามารถเช็คอินก่อนเวลาได้ฟรี

(โดยส่วนมาก)มักจะมาถึงญี่ปุ่นในช่วงเช้าตรู่แล้วเดินทางท่องเที่ยวต่อในวันนั้นเลย ทำให้สัมภาระเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะเกะกะ

ในครั้งนี้จึงขอแนะนำหลากหลายวิธีให้ทุกท่านได้ปลดปล่อยความเครียดเรื่องสัมภาระแล้วไปท่องเที่ยวได้อย่างเพลิดเพลินเต็มอิ่มกัน

นำเฉพาะกระเป๋าไปเช็คอินที่โรงแรม

หากต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายหรือพอจะมีเวลาแวะไปที่โรงแรมสักครั้งหนึ่งเพื่อฝากสัมภาระก็เป็นวิธีที่ดี ส่วนมากแล้วแม้จะยังไม่เช็คอินก็สามารถฝากสัมภาระไว้ก่อนได้

 ใช้บริการล็อคเกอร์หยอดเหรียญตามสถานี

การใช้ล็อคเกอร์หยอดเหรียญตามสถานีเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ + ท่องเที่ยวได้ในราคาถูก

ตามสถานีมากมายในญี่ปุ่นมักจะมีล็อคเกอร์หยอดเหรียญจึงค่อนข้างสะดวก

แต่บางวันหรือบางช่วงเวลาอาจจะเต็มจนไม่สามารถใช้งานได้…!?

โดยเฉพาะล็อคเกอร์ในชานชาลาตามสถานีใหญ่ ๆ มักจะได้รับความนิยมสูง บ่อยครั้งที่ช่วงกลางวันของวันธรรมดาก็อาจจะไม่สามารถใช้งานได้ดังภาพ

สถานีขนาดใหญ่อย่างสถานีโตเกียวหรือสถานีโอซาก้าจะมีการติดตั้งเครื่องนาวิเกเตอร์ที่ช่วยแสดงว่าล็อคเกอร์หยอดเหรียญตรงไหนว่างอยู่บ้าง หากลองตรวจสอบดูก็น่าจะเป็นวิธีที่ดี

จุดที่มี × ดังเช่นจุดตรงวงกลมสีแดงจะหมายถึง ไม่มีล็อคเกอร์ว่าง

จุดที่มี △ ดังเช่นจุดตรงวงกลมสีเหลืองจะหมายถึง มีล็อคเกอร์ว่างเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย

จุดที่แสดงสีเขียวคือ มีล็อคเกอร์ว่างพอสมควร

เมื่อแตะที่สัญลักษณ์ จะแสดงจำนวนและรูปแบบของล็อคเกอร์ที่ว่างอยู่

Small สำหรับสัมภาระขนาดเล็ก

Medium สำหรับกระเป๋าเดินทางขนาดที่ถือขึ้นเครื่องได้

Large เป็นขนาดที่ใส่กระเป๋าเดินทางไซส์ปกติเข้าไปได้

ค่าบริการจะแตกต่างไปตามสถานี แต่ขนาด Small มักจะอยู่ที่ 300-400 JPY, Medium ประมาณ 400-600 JPY, Large ประมาณ 500-700 JPY โดยประมาณ

ถ้าล็อคเกอร์หยอดเหรียญเต็มก็ไปฝากที่ที่รับฝากสัมภาระ

มีไม่น้อยที่บางวันล็อคเกอร์หยอดเหรียญเต็มทั้งหมด

โดยเฉพาะวันที่มีผู้ใช้บริการชาวญี่ปุ่นค่อนข้างเยอะอย่างวันเสาร์ อาทิตย์ หรือวันหยุดยาวเช่นปีใหม่นั้น ล็อคเกอร์หยอดเหรียญว่าง ๆ จะมีจำนวนน้อยมาก

ในเวลาเช่นนั้นขอแนะนำให้ใช้บริการ “ที่รับฝากสัมภาระ” ซึ่งมักจะมีอยู่ตามสถานีใหญ่ ๆ เช่น สถานีโตเกียว สถานีโอซาก้า ฯลฯ

ค่าบริการมักจะแพงกว่าล็อคเกอร์หยอดเหรียญนิดหน่อย

กระเป๋าเดินทางอยู่ที่ 800 JPY, หากเป็นกระเป๋าเดินทางกับกระเป๋าอื่นอีก 1 ใบก็จะรับฝากที่ 1000 JPY

ล็อคเกอร์หยอดเหรียญส่วนใหญ่สามารถใช้บริการเมื่อใดก็ได้ระหว่างที่สถานียังเปิดอยู่ แต่ที่รับฝากสัมภาระจะมีเวลาทำการที่กำหนดไว้ จึงจำเป็นต้องระวังในจุดนี้ด้วย

หากจะเดินทางกลับในเช้าวันรุ่งขึ้นแต่ไปรับกระเป๋าสาย ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องลำบากได้

หากที่รับฝากก็เต็ม สถานีรถไฟใต้ดินก็เป็นอีกจุดดี ๆ ที่ไม่ค่อยมีใครรู้

ช่วงวันหยุดยาวหรือฤดูท่องเที่ยวของญี่ปุ่น “ที่รับฝากสัมภาระ” เองก็อาจจะเต็มได้เช่นกัน

ในกรณีเช่นนั้นอาจจะนั่งรถไฟไปสถานีถัดไป, ไปสถานีรถไฟใต้ดินหรือสถานีรถไฟอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ของ JR (ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวน้อยกว่า) ก็มีโอกาสมากขึ้นที่จะได้เจอที่ที่ยังว่างอยู่

หากท่องเที่ยวแบบไปกลับ การส่งกระเป๋าเดินทางก็เป็นวิธีที่สะดวกสบาย

ประเทศญี่ปุ่นมีบริการจัดส่งสิ่งของถึงบ้านที่ค่อนข้างเจริญก้าวหน้า สามารถส่งสัมภาระจากสนามบินหรือสถานีรถไฟไปยังโรงแรม หรือส่งสัมภาระจากโรงแรมไปยังสนามบินก็ได้เช่นกัน

หากเป็นสนามบินนานาชาติ ส่วนใหญ่แล้วเคาน์เตอร์ส่งสัมภาระจะอยู่ที่สุดทางของล็อบบี้ขาเข้า

ค่าบริการอาจจะสูงเล็กน้อย (กระเป๋าเดินทาง 1 ใบราว ๆ 1500 JPY ถึง 3000 JPY โดยประมาณ) แต่ก็สะดวกสบายกว่าที่จะต้องหอบหิ้วสัมภาระติดตัวไปด้วยหรือต้องไปเดินหาล็อคเกอร์หยอดเหรียญ

กรณีที่ท่องเที่ยวแบบไปกลับ หากส่งกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่(สำหรับใส่ของฝาก)จากสนามบินที่เดินทางมาถึงไปยังโรงแรมที่พักสุดท้ายไว้ ก็สามารถเดินทางท่องเที่ยวในญี่ปุ่นด้วยสัมภาระขนาดเล็กได้

ขอให้ทุกท่านท่องเที่ยวได้อย่างสนุกสนาน ไร้ความกังวลที่ต้องหอบหิ้วสัมภาระเดินไปไหนมาไหนด้วย