Day4-3 วันสุดท้ายแวะไปซ้อปปิ้งที่『RINKU PREMIUM OUTLET』

Day4-3 วันสุดท้ายแวะไปซ้อปปิ้งที่『RINKU PREMIUM OUTLET』

ICHIGO-CHAN ได้เพลิดเพลินตั้งแต่การไปทาน「หมูชาบู」สูตรต้นตำหรับจนถึงไปที่「มาริโอ้คาร์ท」ในตอนที่แล้วค่ะ

Day4-2 กินชาบูหมูเซดอาหารกลางวันสุดคุ้ม ขับรถ『MARI CAR』ทั่วในเมืองโอซาก้า

เหลือเวลาอีก 7 ชั่วโมง กว่าจะถึงเวลาของเที่ยวบินขากลับค่ะ นั่นคืออีก 4 ชั่วโมงจะถึงเวลาเปิดให้เช็คอิน ถ้าจะไปที่สนามบินตอนนี้เลยก็อาจจะเร็วไปหน่อยนะคะ แต่ก็เป็นเวลาที่ดูหมิ่นเหม่ว่าจะไปขึ้นเครื่องบินทันมั้ยเหมือนกันนะ สำหรับเวลาแบบนี้ เราขอแนะนำ「RINKU TOWN」ซึ่งอยู่ใกล้กับสนามบินสุด ๆ ค่ะ

นอกจากจะมีสถานที่ที่น่าดึงดูดอย่าง『RINKU PREMIUM OUTLET』และชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่แล้ว ยังอยู่ห่างจากสนามบินซึ่งเดินทางด้วยรถไฟแค่ 5 นาทีค่ะ ทำให้เราสามารถเพลิดเพลินได้จนถึงเวลาที่เครื่องบินใกล้จะออก เราเลยจะขอนำเสนอ RINKU TOWN ในครั้งนี้ค่ะ

พอเราออกจาก「MARICAR OSAKA」แล้วก็เลี้ยวซ้าย จากนั้นเลี้ยวขวาที่สี่แยกขนาดใหญ่และเลี้ยวซ้ายอีกทีตรงสัญญาณไฟจราจรอันถัดไปค่ะ เดินไปราว 7 นาทีก็เข้าไปในซอยที่อยู่ทางขวาของร้านที่มีป้ายสีเหลืองค่ะ เดินตรงไปสุดทางก็จะเป็นสถานี JR NODA แล้วค่ะ ใช้เวลาเดินประมาณ 12 นาทีจากมาริโอ้คาร์ทโอซาก้าค่ะ

ถ้าหากไม่อยากเดิน จะใช้บริการรถแท็กซี่ก็ได้นะคะ (ราคาประมาณ 680 เยน แล้วแต่บริษัทแท็กซี่ค่ะ)

จากในตัวเมืองโอซาก้าไปยังสนามบินคันไซ เราสามารถใช้『TAKAYAMA-HOKURIKU TOURIST PASS』ขึ้นรถไฟสาย HANWA ได้ค่ะ

แสดงพาสให้กับเจ้าหน้าที่แล้วก็เดินผ่านช่องตรวจตั๋วได้เลยค่ะ

เราจะต้องขึ้นรถไฟที่เข้ามาชานชาลาหมายเลข 1 และลงรถที่สถานี NISHI KUJO ซึ่งเป็นสถานีอันที่ 1 ค่ะ จากนั้นก็ขึ้นรถไฟ「KANKU-KISHUJI Rapid Service(KANKU-KAISOKU)」ที่จะเข้ามาที่ชานชาลาเดียวกันค่ะ

นั่งรถไฟประมาณชั่วโมงนิด ๆ ก็มาถึงที่สถานี「RINKU TOWN」แล้วค่ะ

ภายในรถ「KANKU-KAISOKU」มีที่นั่งแสนสบายแบบ 3 แถวค่ะ

ถ้าเป็นการรถไฟของไทยก็เรียกได้ว่าเป็นระดับเฟิร์สคลาสเลยค่ะ 555

ที่สถานีมีตู้ล็อกเกอร์หยอดเหรียญจัดเตรียมเอาไว้ค่ะ ช่วยให้เราสามารถเก็บสิ่งของสัมภาระขนาดใหญ่ได้ สะดวกดีนะคะ

ตู้ล็อกเกอร์ขนาดใหญ่ราคา 700 เยน ส่วนตู้ล็อกเกอร์ขนาดเล็กราคา 300 เยนค่ะ

สิ่งที่ลำบากในการใช้งานตู้ล็อกเกอร์ก็คือส่วนใหญ่แล้วจะใช้งานได้เฉพาะเหรียญ 100 เยนเท่านั้นค่ะ ถ้าเป็นตู้ล็อกเกอร์ 700 เยนแล้วก็จะต้องมีเหรียญ 100 เยน จำนวน 7 เหรียญ ถึงจะใช้งานได้นะคะ

ในเวลาแบบนี้ เราไปขอแลกเหรียญที่ร้านขายของภายในสถานีหรือช่องขายตั๋วกันนะคะ

「LOCKER WO TSUKAITAI NODE HYAKUEN NI RYOUGAE ONEGAISHIMASU」

 (ต้องการจะใช้ตู้ล็อกเกอร์ครับ/ค่ะ ขอแลกเป็นเหรียญ 100 หน่อยครับ/ค่ะ)

เพียงเท่านี้ก็หมดปัญหาแล้วค่ะ โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะช่วยเหลือเรานะคะ

หลังจากลงรถที่สถานี「RINKU TOWN」ก็ออกจากช่องตรวจตั๋วแล้วไปที่「ประตูทางออกหมายเลข 2」ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือค่ะ

พอเราออกมาข้างนอก เราก็จะเจอกับชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่มีการประดับไฟสีเขียวอยู่คู่กับพระอาทิตย์ตกดินของฤดูหนาวซึ่งเราไม่ค่อยจะได้พบเห็นที่ไทยเท่าไรค่ะ

ที่ RINKU TOWN มีศูนย์การค้าอยู่ 2 แห่งค่ะ คือ「SEACLE」และ「RINKU PREMIUM OUTLETS」เป็นสถานที่ซึ่งมีจัดอีเวนท์ประดับไฟในช่วงฤดูหนาวค่ะ

พอเข้ามาที่ด้านใน เราก็จะเห็นต้นไม้สัญลักษณ์ที่ได้รับการประดับไฟเหมือนกับต้นคริสต์มาสเลยค่ะ『RINKU PREMIUM OUTLET』ถูกสร้างขึ้นมาโดยใช้ MINATOMACHI CHARLESTON ของอเมริกาเป็นต้นแบบค่ะ

ก็ดูมีบรรยากาศแบบอเมริกาอยู่นะคะ

ร้าน SANRIO ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของคนไทยค่ะ

ถ้าเป็นตัวละครของ SANRIO เองก็จะมีผลิตภัณฑ์ครบทุกแบบเลย อย่างเช่น สินค้าชุด KITTY-CHAN ค่ะ

และยังมีร้านขายรองเท้าตั้งอยู่เรียงรายติด ๆ กันเลยค่ะ มีทั้ง ONITSUKA TIGERS, ASICS, PUMA และ NIKE ที่ร้านของ ONITSUKA TIGERS ก็มีสินค้า「โมเดลเฉพาะที่ญี่ปุ่น」ซึ่งเป็นของฝากยอดฮิตของประเทศญี่ปุ่นจำหน่ายอยู่ด้วยนะคะ

แน่นอนว่าการไปช้อปปิ้งที่ SHINSAIBASHI และ UMEDA เป็นอะไรที่เราไม่ควรจะพลาด แต่ว่าที่ OUTLET MALL ก็มีรวบรวมสินค้าทุกสิ่งอย่างอยู่ภายในบริเวณเดียว ทำให้เราสามารถเดินช้อปปิ้งด้วยระยะทางที่ใกล้กว่าที่ภายในตัวเมืองได้ค่ะ

ICHIGO-CHAN ก็ได้ซื้อรองเท้า「MEXICO 66 DELUX」(22680 เยน) โมเดลยอดฮิตที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่นด้วยนะคะ พอดีจะซื้อไปเป็นของฝากให้พี่ชายค่ะ

ถึงจะซื้อของฝากเยอะมากจนใส่ในกระเป๋าเดินทางไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะคะ

เพราะที่นี่ก็มีร้าน「SAMSONITE」และ「ZERO HALLIBURTON」ด้วยนะคะ เราจึงสามารถซื้อกระเป๋าเดินทางได้ในราคาที่ถูกกว่าในตัวเมืองค่ะ

ภายในร้าน SAMSONITE ก็มีแบรนด์พี่น้องอย่าง「AMERICAN TOURISTER」ซึ่งเป็นสินค้าสุดคุ้มราคาไม่เกิน 10,000 เยนค่ะ! โดยปกติแล้วคนญี่ปุ่นสามารถหาซื้อกระเป๋าเดินทางในแบรนด์อย่าง SAMSONITE, RIMOWA, ZERO HALLIBURTON ได้ในราคาไม่แพงค่ะ

ICHIGO-CHAN ได้เพลิดเพลินกับการช้อปปิ้งก่อนที่จะกลับไทยค่ะ

เวลาที่เครื่องบินจะออกก็ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้วนะคะ

ขอไปโพสท่าที่ด้านหน้าของ「RINKU NO SATO」ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ RINKU TOWN ที่ได้รับการประดับไฟหน่อยนะคะ

『SEACLE』ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่อยู่ระหว่าง『RINKU PREMIUM OUTLETS』และสถานีรถไฟค่ะ

ถ้าเทียบกับ RINKU PREMIUM OUTLETS แล้ว ที่นี่จะเป็นร้านค้าของท้องถิ่นซึ่งตั้งเรียงรายอยู่ค่ะ ที่ชั้น 1 ก็มี『DAIKI SUISAN』ซึ่งเป็นสาขาของร้านซุชิหมุนชื่อดังในโอซาก้าอยู่ด้วยนะคะ

ดูเข้ากับการท่องเที่ยวตารางแน่นเอี้ยดดีนะคะ งั้นก็ลองเข้าไปกันเลยค่ะ

มีลูกค้าอยู่เต็มร้านเลยค่ะ แต่เพราะว่าเป็นร้านสาขาใหญ่ทำให้ต่อแถวรอไม่ค่อยนานเท่าไร

ตอนแรกก็ลังเลว่าจะเข้าไปต่อแถวดีมั้ยนะ แต่รอเพียงแค่ 10 นาที เราก็ได้เข้าไปนั่งที่ตรงเคาน์เตอร์แล้วค่ะ

ที่ทานไปก็มีซุชิที่โปะเนื้อปลาแซลมอนจนล้น (250 เยน)….

แล้วก็มี「กุนคังมากิหน้าไข่ปลาแซลมอน」ที่ใส่ไข่ปลาแซลมอนมาให้เยอะมากจนล้นค่ะ

และ ICHIGO-CHAN ก็ทานเนื้อ Otoro ของปลาทูน่า, 「หอยเซลล์」ของโปรดของคนไทย แล้วก็「ปลาแซลมอนลนไฟ」ด้วยค่ะ

ถ้าพูดถึงซุชิหมุนแล้ว เราก็มักจะนึกถึงการหยิบซุชิที่กำลังหมุนอยู่จากสายพานขึ้นมาทานนะคะ แต่ว่าที่ร้านซุชิหมุนเกือบทุกแห่ง เราก็สามารถสั่งของที่เราอยากจะทานได้โดยตรงเช่นกันนะคะ

ที่ร้านซุชิซึ่งมีลูกค้าเป็นชาวต่างชาติจำนวนมาก เค้ามักจะมีเมนูอาหารแบบที่มีภาพประกอบนะคะ เราก็สามารถใช้นิ้วชี้ที่รูปเพื่อสั่งอาหารได้ค่ะ

ให้พูดกับพนักงานของร้านว่า

「(ชื่อของซุชิที่อยากทาน)WO ORDER DE ONEGAISHIMASU」

เพียงเท่านี้เราก็สามารถทานซุชิที่ปั้นมาใหม่สด ๆ ได้แล้วค่ะ

ICHIGO-CHAN ทานซุชิแสนอร่อยไป 6 จาน แล้วตามด้วยซุปมิโสะอีกถ้วยค่ะ

คิดว่าค่าเสียหายจะต้องมีราคาแพงแน่นอน….

แต่พอคิดเงินมาแล้ว เป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 2106 เยน (= 630 บาท) เองค่ะ

เรามักจะคิดว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพแพง แต่พอได้มาลองด้วยตัวเองแล้วก็ต้องประหลาดใจกับค่าครองชีพก็ถูกจนน่าเหลือเชื่อค่ะ

สำหรับร้านข้างทางและศูนย์อาหารนั้น จริงอยู่ว่าที่ไทยมีราคาถูกกว่าค่ะ แต่ถ้าเป็นร้านอาหารที่เราสามารถนั่งตากแอร์เย็นสบายและทานอาหารญี่ปุ่นแบบต้นตำหรับได้แล้ว ก็อาจจะถือว่าที่ญี่ปุ่นถูกกว่าก็ได้นะคะ…

ที่มุมด้านในของร้าน เราสามารถทานอาหารเป็นข้าวหน้าต่าง ๆ ในราคาถูกได้อีกด้วยค่ะ

ข้าวหน้าปลาแซลมอนที่มีทั้งเนื้อปลาแซลมอนและไข่ปลาที่สดใหม่ มีราคา 880 เยน (= 250 บาท) ราคาถูกแบบไม่น่าเชื่อใช่มั้ยคะ!

ตอนนี้เพิ่งจะทานซุชิเสร็จใหม่ ๆ เลยทานอะไรเพิ่มอีกไม่ไหวแล้วค่ะ น่าเสียดายจัง

เอาล่ะ ในเมื่อทานจนอิ่มท้องแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องไปที่สนามบินคันไซแล้วค่ะ

จาก「RINKU TOWN」ไปยังสถานีสนามบินคันไซนั้น เราสามารถไปได้ 2 วิธีค่ะ คือ รถไฟ JR และรถไฟ NANKAI

สายรถไฟที่เราจะสามารถใช้พาส『TAKAYAMA-HOKURIKU TOURIST PASS』ได้มีแค่ JR เท่านั้นค่ะ และเพราะว่ารถไฟ JR และรถไฟ NANKAI ใช้สถานี RINKU TOWN ร่วมกัน เราจึงควรจะเช็คชานชาลาให้ดีก่อนนะคะ เราจะต้องขึ้นรถไฟที่ตัวรถเป็นสแตนเลสและมีเส้นสีฟ้าคาดอยู่เหมือนในรูปนะคะ

ถ้าเผลอไปขึ้นรถไฟสาย NANKAI ตอนที่เราออกจะต้องจ่ายเงินเพิ่ม (370 เยน) ด้วยค่ะ

พอเรามาถึงที่สนามบินคันไซแล้ว ก็ออกจากช่องตรวจตั๋ว ให้เดินไปทางซ้ายและข้ามสะพานค่ะ

หลังจากข้ามสะพาน เราก็เดินเข้าไปในตัวอาคารและขึ้นบันไดเลื่อนค่ะ

สำหรับเคาน์เตอร์เช็คอินของการบินไทยนั้น พอเราขึ้นบันไดเลื่อนมาแล้ว ก็จะอยู่ที่「แถว D」ทางซ้ายมือค่ะ ตอนนี้ก็ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย เพราะว่าเรายังเหลืออีก 3 ชั่วโมงนิด ๆ กว่าเครื่องจะออกค่ะ

มีคนไทยที่ซื้อของฝากจนแน่นกระเป๋าเดินทางมาต่อแถวรอกันยาวเหยียดเลยค่ะ

พอนึกว่าตัวเองจะต้องมารอเช็คอินคนเดียว มันก็ทรมานจังน้า…

แต่พอดีว่าคุยถูกคอกับกลุ่มพี่สาวที่กำลังต่อแถวอยู่ทางด้านหลัง เลยทำให้ช่วงเวลาที่กำลังรอเช็คอินผ่านไปไวเหมือนโกหกเลยค่ะ

ใช้เวลารอเกือบ 1 ชั่วโมงค่ะ

ในที่สุดก็มาถึงเคาน์เตอร์เช็คอินแล้วค่ะ

ทริปที่ใช้『TAKAYAMA-HOKURIKU TOURIST PASS』ในครั้งนี้รวมทั้งสิ้นเป็นเวลา 4 วันค่ะ โดยเริ่มต้นจากนาโงย่า, ทากายามะที่มีหิมะขาวโพลน, ชิรากาวะโก จากนั้นก็คานาซาวะ แล้วก็มาจบที่โอซาก้า ถึงจะมีเวลาแค่ 4 วัน แต่ด้วยเนื้อหาของทริปที่อัดแน่นก็ทำให้รู้สึกเหมือนว่าได้มาถึงที่นาโงย่าเมื่อประมาณ 1 เดือนก่อนเลยค่ะ สำหรับพาสอันนี้ถือเป็นสิ่งของจำเป็นของทริปซึ่งได้รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งคนไทยต้องการจะไปเอาไว้เป็นอย่างดีเลยค่ะ

สำหรับทุกท่านก็อย่าลืมลองใช้พาสอันนี้มาท่องเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงฤดูหนาวกันดูนะคะ

เอาไว้มาเจอกันที่ญี่ปุ่นกันใหม่นะคะ!!

        Go to the top Page        

  ◀ BACK