Day4-2 ชมวิวโอซาก้าจากสวนลอยฟ้า “คูจูเทเอ็น”「KUCHU TEIEN OBSERVATORY」ที่ “อุเมดะสกาย”「UMEDA SKY BUILDING」พร้อมเที่ยวชมย่านร้านอาหารโบราณชั้นใต้ดิน “ทากิมิโคจิ”「TAKIMIKOJI」


ROUND THE C・H・I

ของเราคือ ริวีวการท่องเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง

ติดตามรีวิวของแต่ละวันในทริป

พร้อมตารางการเดินทาง ค่าใช้จ่าย และ Pass ต่างๆ

ชมวิวโอซาก้าจากสวนลอยฟ้า “คูจูเทเอ็น”「KUCHU TEIEN OBSERVATORY」ที่ “อุเมดะสกาย”UMEDA SKY BUILDINGพร้อมเที่ยวชมย่านร้านอาหารโบราณชั้นใต้ดิน “ทากิมิโคจิ”「TAKIMIKOJI」

FUKUI-SHIGA-KYOTO-OSAKA

จากความเดิมตอนที่แล้วที่เราได้พักที่โรงแรม “เออร์เบิน โฮเต็ล เกียวโต นิโจ พรีเมียม”「URBAN HOTEL KYOTO NIJO PREMIUM」แล้ว ตอนนี้ ICHIGO-CHAN ก็ได้เดินทางมาถึงโอซาก้าเป็นที่เรียบร้อย

Day4-1 “เออร์เบิน โฮเต็ล เกียวโต นิโจ พรีเมียม”「URBAN HOTEL KYOTO NIJO PREMIUM」ที่พักพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายใจลางเมืองเกียวโต พร้อมเดินทางไปสู่โอซาก้า

หลังจากที่เราได้ไป “ฟุกุอิ” “ชิงะ” และเกียวโตแล้ว ก็ใกล้จะจบทริปนี้แล้ว เที่ยวบินกลับไทยของเราในวันนี้คือเวลา 17:35 เพราะฉะนั้นก่อนไปสนามบินเราจะขอแวะไปที่ตึก “ตึกอุเมดะสกาย”「UMEDA SKY BUILDING」สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งใน「20 ตึกที่เป็นตัวแทนของโลก」ใน นสพ.ไทมส์ TIMES จากนั้นต่อด้วยย่านร้านค้าบรรยากาศโบราณ “ทากิมิโคจิ”「TAKIMIKOJI」ชั้นใต้ดินกันค่ะ

เมื่อลงรถไฟทที่สถานีโอซาก้าแล้ว เราจะใช้เวลาเดินไปตึกอุเมดะสกาย 10 นาที “ตึกอุเมดะสกาย”「UMEDA SKY BUILDING」นี้ถูกพูดถึงว่าเป็นตึกที่มีรูปทรงแปลกทันสมัยใน นสพ.ไทมส์ TIMES หรือ มิชลินไกด์ ด้วย เราไปกันเลยดีกว่าค่ะ

โดยเดินไปตามทางลอดใต้ดินจาก สถานีโอซาก้า หรือ แกรนด์ฟร้อนท์โอซาก้า เพื่อเข้าไปสู่เขตอาคาร เดินไปจนถึงหน้าจึกสกายแล้วก็เลี้ยวไปทางขวา เมื่อเลี้ยวมาแล้วก็จะเจอกับทางเข้า「KUCHU TEIEN OBSERVATORY」ที่อยู่บนตึก เมื่อเข้าทางเข้ามาแล้วก็ตรงไปขึ้นลิฟต์เลย เมื่อขึ้นลิฟต์มาแล้วก็ตรงไปอีก

เดินไปตามทางเดินยาวไปจนสุดทางจากนั้นเดินไปทางซ้าย เมื่อตรงไปอีกก็จะเจอกับลิฟต์สองตัวที่จะมุ่งหน้าไปสู่ “คูจูเทเอ็น (สวนลอยฟ้า)”「KUCHU TEIEN OBSERVATORY」อยู่ซ้ายมือ ขึ้นลิฟต์ฝั่งไหนก็สามารถขึ้นไปได้ทั้งหมดค่ะ

เมื่อขึ้นบันไดเลื่อนมาแล้วก็จะเป็นตึกอุเมดะสกายทางฝั่งทิศเหนือ ที่สามารถชมวิวส่วนกลาง และทางเหนือของโอซาก้าได้ รวมถึงวิวสวยๆ ของแม้น้ำโยโดะด้วย

เมื่อลงบันไดเลื่อนมาแล้วก็จะเห็นบันไดเลื่อนยาวเพื่อขึ้นไปข้างบน เหมือนกำลังขึ้นไปบนฟ้าเลยค่ะ ซึ่งบันไดเลื่อนที่เรากำลังขึ้นอยู่ตอนนี้ก็คือ บันไดเลื่อนที่อยู่สูง 130 เมตร ในรูปขวาที่อยู่ในวงกลมสีเหลือง บันไดเลื่อนที่ด้านข้างเป็นกระจกใส ในความรู้สึกหวาดเสียวนิดๆ เพื่อขึ้นไปที่ทางเข้า “คูจูเทเอ็น (สวยลอยฟ้า)”「KUCHU TEIEN OBSERVATORY」

เมื่อขึ้นบันไดเลื่อนมาแล้วก็จะเป็นส่วนทางเข้า『KUCHU TEIEN OBSERVATORY』

จากส่วนตรงนี้หากต้องการเข้าไปสู่ “คูจูเทเอ็น”「KUCHU TEIEN OBSERVATORY」ก็จำเป็นต้องเสียค่าเข้าชม 1000 เยนค่ะ นอกจากเงินสดแล้วสามารถชำระด้วสยบัตรเครดิต เช่น VISA หรือ Master ฯลฯ เราสามารถขึ้นไปจนถึงส่วนจำหน่ายตั๋วได้ฟรี เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากลองขึ้นมาถึงจุดนี้ดูก็ได้ค่ะ แต่ไหนๆ ก็มาแล้วแนะนำว่าให้ไปถึงส่วน “คูจูเทเอ็น” หรือ สวนลอยฟ้า เลยดีกว่านะคะ เมื่อซื้อตั๋วแล้วก็ขึ้นบันไดเลื่อนที่อยู่ด้านข้างเพื่อขึ้นไปที่ “คูจูเทเอ็น” หรือ สวนลอยฟ้า กันเลย

 “คูจูเทเอ็น”「KUCHU TEIEN OBSERVATORY」จะเป็นชั้นเปิดโล่งชั้นบน กับส่วนชั้นล่างที่เป็นห้องกระจก ส่วนเปิดโล่งชั้นบนจะอยู่ที่ความสูง 173 เมตร วิวจากจุดนี้เป็นอะไรที่สวยมากๆ ค่ะ บรรยากาศโรแมนติก มีลมพัดแรงๆ อยู่ตลอดทำให้รู้สึกหวาดเสียวเล็กน้อย

ส่วนดาดฟ้าของ “คูจูเทเอ็น”「KUCHU TEIEN OBSERVATORY」 จะเป็นพื้นที่เปิดโล่ง 360 องศา สามารถชมวิวได้จากทุกทิศทาง ทั้ง “ABE NO HARUKUS” “USJ” “ปราสาทโอซาก้า” และภายในเมืองโอซาก้าทั้งหมด หากเป็นวันที่อากาศดีท้องฟ้าแจ่มใสก็สามารถเห็นไปถึงภูเขาร็อคโค หรือ สนามบินคันไซเลย

ที่นี่จะชมวิวตอนกลางวันก็สวยอยู่แล้ว แต่ถ้ายิ่งได้มาตอนกลางคืนก็จะได้ชมแสงไฟยามค่ำคืนที่สวยไม่แพ้กันเลยค่ะ

ซึ่งเปิดให้บริการถึง 22:00 น. ยังไงถ้าได้พักที่โอซาก้าก็ลองมาชมวิวแสงไฟยามค่ำคืนของโอซาก้าดูนะคะ

วิวจากชั้น 40F ที่เป็นส่วนในอาคารก็สวยไม่แพ้วิวจากดาดฟ้าเปิดโล่งเช่นกันค่ะ เราสามารถเที่ยวชมวิวทั้งหมดของโอซาก้าได้แม้กระทั่งวันที่อากาศไม่เป็นใจ วันที่ฝนตก วันที่อากาศร้อนหรือหนาวเป็นพิเศษ ในส่วนด้านในอาการที่มีแอร์หรือฮีทเตอร์นั่นเอง ซึ่งในโซนด้านในอาคารชั้น 40F นี้จะเป็นห้องกระจกมีทั้งเก้าอี้พิเศษนั่งชมวิว ร้านกาแฟ หรือร้านขายของฝาก ที่บรรยากาศโรแมนติกมากๆ มากันเป็นคู่รักก็ยิ่งได้บรรยากาศเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีมุมให้ทำ กุญแจเหล็ก(1000 เยน)อีกด้วยค่ะ และสามารถนำกุญแจเหล็กนี้ไปคล้องไว้ที่มุมุหนึ่งของ “คูจูเทเอ็น” ได้อีกด้วย ในส่วนนี้ก็ได้รับความนิยมจากคู่รักไม่น้อยเลยค่ะ

 “ตึกอุเมดะสกาย”「UMEDA SKY BUILDING」ที่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก วันที่ ICHIGO-CHAN ไปก็มีคนไทยอยู่เยอะเหมือนกันค่ะ ส่วนคุณพี่ๆ คู่นี้เป็นคนที่มาทัก ICHIGO-CHAN ว่า “ถ่ายรูปให้ไหมคะ?” ตอนกำลังพยายามเซลฟี่อยู่คนเดียวด้วย ใจดีมากๆ ว่าแล้วก็ถ่ายรูปด้วยกันเลย

หลังจากที่ได้เพลิดเพลินกับวิวสวยๆ ที่ “คูจูเมเอ็น(สวนลอยฟ้า)”「KUCHU TEIEN OBSERVATORY」แล้วก็ได้เวลาอาหารกลางวันแล้วค่ะ เราจะเดินกลับไปทางเดิมจนถึงบันไดเลื่อนทางเข้าเลย จากนั้นเราจะลงไปที่ชั้นใต้ดินในสถานที่เดียวกันเพื่อลงไปที่ย่านร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นโบราณ “ทากิมิโคจิ”『TAKIMIKOJI』

บรรยากาศที่นี้จะให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในเมืองญี่ปุ่นโบราณ กับย่านร้านอาหาร “ทากิมิโคจิ”「TAKIMIKOJI」ซึ่งเป็นสถานที่สร้างขึ้นเพื่อจำลองบรรยากาศเมืองโอซาก้าเมื่อ 80 กว่าปีก่อนที่เคยมีความเจริญกว่าโตเกียว ให้ความรู้สึกแตกต่างจาก “คูจูเทเอ็น” ที่เราไปมาเมื่อกี้เลยค่ะ ภายในนี้ก็จะมีมุมให้ถ่ายรูปมากมายทั้ง โทริอิสีแดง รูปปั้นสุนัข หรือศาลเจ้าเล็กๆ เป็นต้น

ภายย่านร้านอาหาร “ทากิมิโคจิ”「TAKIMIKOJI」กว่า 20 ร้านนี้ จะมีร้านโอโคโนมิยากิที่ได้รับความนิยมมากๆ อยู่ร้านหนึ่งนั่นก็คือ “คิจิ”「KIJI」 ซึ่งร้านนี้เป็นร้านโอโคโนมิยากิเก่าแก่ที่มีสาขาแรกอยู่ห่างออกไปจากที่นี่เล็กน้อย ได้รับความนิยมจากทั้งคนญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ สามารถทานโอโคโนมิยากิแบบรสชาติต้นตำรับได้ในราคาสบายกระเป๋า ภายในร้านจะมีทั้งที่นั่งแบบ 2 คน 4 คน หรือจะเป็นที่นั่งแบบเคาน์เตอร์ที่มีกระทะร้อนอยู่ตรงหน้า ถึงแม้ว่าที่นี่แขกจะเยอะมาก แต่อยากแนะนำให้นั่งที่นั่งเคาน์เตอร์นะคะ จะได้ดูขั้นตอนการทำโอโคโนมิยากิได้แบบใกล้ๆ เลย

เมนูก็จะเป็นเมนูแบบพื้นฐานทั่วไปคือ หน้าหมู(660 เยน)หน้าปลาหมึก(770 เยน) นอกจากโอโคโนมิยากิแล้วก็มี ยากิโซบะ(680 เยน)โมดันยากิ MODANYAKI(830 เยน)ฯลฯ ยิ่งทานพร้อมกับ เบียร์สด(480 เยน)หรือ โค้ก(200 เยน)ยิ่งดีไปเลยค่ะ

ถ้าได้นั่งที่นั่งเคาน์เตอร์ก็จะได้เห็นขั้นตอนการทำแบบใกล้สุดๆ น่าทานแล้วก็หอมโชยแตะจูมกมากๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้แม่พิมพ์หรือแบบ แต่โอโคโนมิยากิแต่ละแผ่นขนาดเท่ากันและกลมดิ๊กทุกแผ่นเลย แค่ดูระหว่างทำน้ำลายก็ไหลแล้ว

ICHIGO-CHAN สั่งโอโคโนมิยากิหน้าผสม ที่มีทั้งหมู กุ้ง และปลาหมึก ซึ่งพนักงานก็จะตัดแบ่งเป็นสี่ชิ้น และตักใส่จานที่ละชิ้นให้ทานจากกระทะร้อน จะได้ทานโอโคโนมิยากิที่ร้อนๆ ตลอดเวลา ด้วยความใส่ใจลูกค้าแบบนี้อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ร้านนี้ได้รับความนิยมมากๆ นั่งเองค่ะ ด้วยซอสหวานๆ เค็มๆ ราดลงบนโอโคโนมิยากิร้อนๆ หอมนุ่ม เครื่องแน่น อร่อยสุดๆ ไปเลย เป็นมื้อสุดท้ายของทริปที่ดีมากๆ

พนักงานที่ดูท่าทางใจดีคนนี้ก็ทำงานที่ร้านนี้มายาวนานมากกว่า 10 ปี จนเชี่ยวชาญทางด้านโอโคโนมิยากิเลยค่ะ 

และเราก็ออกจากร้านเพื่อมุ่งหน้าไปที่สนามบินกันเลย

เดินกลับไปตามทางเดิมเรื่อยๆ เพื่อย้อนกลับไปที่สถานีโอซาก้า ด้านหน้าอาคารสถานีโอซาก้าจะมีห้างตึกขนาดใหญ่ “แกรนด์ฟร้อนท์โอซาก้า GRAND FRONT OSAKA” ซึ่งภายในนี้จะมีทั้งร้านนาฬิกา「TIC TAC」หรือ「Taylor Made」นอกจากนี้ก็มีร้านรองเท้า「new balance」หรือ สินค้าแฟชั่นต่างๆ อีกมากมาย และที่สำคัญคือ ด้านข้างตึกนี้จะมีร้าน「YODOBASHI CAMERA」ขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ที่มีสินค้ามากมายแบบครบวงจร 

ถึงแม้ว่า ย่านชินไซบาชิ หรือ ย่านนัมบะจะได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวมากกว่า “อุเมดะ” แต่ที่นี่ก็มีข้อดีคือ เพื่อนๆ สามารถเดินเลือกซื้อของในบรรยากาศที่โปร่งโล่งสบาย ไม่แออัด เป็นสถานที่แนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวรีพีทเตอร์เลย ยังไงลองมาเดินเที่ยวกันดูนะคะ

หลังจากที่เราได้ชมวิวโอซษก้าจาก UMEDA SKY BUILDING ช้อปปิ้ง และทานอาหารกันไปแล้ว ตอนนี้ก็ได้เวลาเดินทางกลับประเทศไทยแล้วจริงๆ ค่ะ โดยเราจะนั่งรถไฟด่วนจากสถานีโอซาก้าตรงไปยังสถานีสนามบินคันไซด้วย「KANSAI AIRPORT RAPID SERVICE」ซึ่งสามารถซื้อเพียงตั๋วขึ้นรถไฟแบบทั่วไปเท่านั้น หากใครต้องการซื้อตั๋วด้วยบัตรเครดิตก็ต้องซื้อที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว แต่หากซื้อด้วยเงินสดก็สามารถซื้อได้จากเครื่องจำหน่ายตั๋สอัตโนมัติเลยค่ะ

วิธีซื้อตั๋วจากเครื่องจำหน่ายตั๋วก็ไม่ยากเลยค่ะ ก่อนอื่นก็ต้องเช็คราคาตั๋วรถไฟจากบอร์ดแผนผังรถไฟที่อยู่บนเครื่องจำหน่ายตั๋ว โดยราคาตั๋วไปสนามบินคันไซจะอยู่ที่ 1190 เยน จากนั้นก็กด English บนหน้าจอเครื่อง ต่อด้วย Purchase Tickets จากนั้นกดปุ่มราคาคือ「1190」และใส่เงินเข้าไปในเครื่องจำหน่ายตั๋วเท่านี้ก็เรียบร้อย

รถไฟที่มุ่งหน้าไปสู่สนามบินจะออกตัวจากชานชาลาที่ 1 ของสถานีโอซาก้า โดยผ่านเข้าช่องตรวจตั๋วที่อยู่ข้างเครื่องจำหน่ายตั๋วไปด้านขวา ไปจนสุดทางก็จะเจอบันไดเลื่อน หรือ บันได เพื่อลงไปสู่ชานชาลา 1  ・2 ซึ่งข้อควรระวังในการขึ้นรถไฟด่วนไปสนามบินคันไซคือ รถไฟคันนี้จะเป็น KISHUUJI RAPID SERVICE ไปสู่วาคายาม่า กล่าวคือ โบกี้ที่ 1-4 จะมุ่งหน้าไปสู่สนามบินคันไซ ส่วนขบวนที่ 4-8 จะมุ่งหน้าไปสู่วาคายาม่า เพราะฉะนั้นต้องขึ้นให้ถูกโบกี้นะคะ

รถไฟด่วนคันไซ KANSAI RAPID SERVICE จะวิ่งชั่วโมงละ 4 เที่ยว ใช้เวลาเดินทางจากสถานีโอซาก้าไปสนามบินคันไซ 70 นาที (แล้วแต่รอบวิ่ง) ที่นั่งภายในจะเป็นแบบ ฝั่ง 2 แถว กับ 1 แถว รวมเป็น 3 แถว แบบที่นั่ง Cross Seat ที่สามารถปรับฝั่งหันหน้าที่นั่งได้ โดยจับมือจับที่อยู่ข้างพนักพิง เท่านี้เราก็สามารถนั่งหันหน้าเข้าหากันได้ 4 คน หรือ 2 คนเลยค่ะ

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 70 นาที ตอนนี้เราก็มาถึงสนามบินคันไซเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ เมื่อถึงสนามบินแล้ว ก็ขึ้นบันไดเลื่อนไป เพื่อผ่านออกจากช่องตรวจตั๋วอัตโนมัติ จากนั้นให้เดินไปทางซ้ายมือ และตรงไปเรื่อยๆ เพื่อเข้าไปในอาคารสนามบินเลยค่ะ เมื่อเข้ามาในอาคารแล้ว ก็ขึ้นลิฟต์ที่อยู่ซ้ายหรือขวา เพื่อขึ้นไปที่ชั้น 4F เลย

เมื่อขึ้นมาที่ชั้น 4F แล้วก็ไปที่เคาน์เตอร์สายการบินไทยที่อยู่ด้านซ้ายช่อง D เลย (ข้อมูลปัจจุบัน เดือนมิถุนายน พ.ศ.2561)โดยสามารถเช็คอินได้จากเคาน์เตอร์ที่มีพนักงานประจำ เครื่องเช็คอินอัตโนมัติหน้าเคาน์เตอร์ หรือ เช็คอินทางเว็ปไซต์ที่สามารถเช็คอินได้ตั้งแต่ก่อนบิน 24 ชั่วโมง ไปจนถึง ก่อนบิน 1 ชั่วโมง ซึ่งหากได้จองที่นั่งเอาไว้ล่วงหน้า หรือจองผ่านทางเว็บเช็คอินก็จะสามารถเลือกที่นั่งที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังจองให้นั่งที่นั่งติดกันได้ด้วย ถึงแม้ว่าจะยุ่งยากเล็กน้อยแต่ถ้าได้นั่งด้วยกัน หรือได้ที่นั่งที่ถูกใจระหว่างบินก็เป็นเรื่องที่ดีใช่ไหมคะ

ที่สนามบินคันไซตั้งแต่ช่วงบ่ายไปจนถึงช่วงเย็นคนจะเยอะเป็นพิเศษ บรรยากาศเหมือนกับสุวรรณภูมิเลย ในขั้นตอนการตรวจเช็คกระเป๋าหรือเช็คที่ตรวจคนเข้าเมืองอาจใช้เวลานานมากกว่า 30 นาทีเลยทีเดียว ถ้าเป็นไปได้ก็แนะนำว่าให้รีบผ่านเข้าตรวจคนเข้าเมืองมาเลยนะคะ เพราะว่าเมื่อผ่านตรวจคนเข้าเมืองมาแล้ว จะมีร้านค้าต่างๆ มากมายเลย ทั้งร้านของฝากที่จำหน่าย “คุ๊กกี้ชิโรอิโคอิบิโตะ”「SHIROI KOIBITO」「TOKYO BANANA」นอกจากร้านขายของฝากแล้วก็ยังมี ร้านค้าปลอดภาษี ร้านโมเดลกันดั้ม หรือ UNIQLO ฯลฯ ให้ได้เลือกช้อปจนหนำใจก่อนเดินทางกลับไทยเลยค่ะ และเมื่อผ่านตรวจคนเข้าเมืองมาทันทีก็จะเจอกับร้านซูชิชื่อดัง “ร้านกังโกะ GANKO” อยู่ตรงหน้า ทานอาหารญี่ปุ่นส่งท้ายก่อนกับไทยอีกซักมื้อก็ไม่เลวนะคะ

หลังจากที่ช้อปปิ้งส่งท้ายที่ร้านปลอดภาษี หรือร้านค้าต่างๆ แล้ว ก็เดินไปทางซ้ายมือ โดยให้เคาน์เตอร์ตรวจคนเข้าเมืองอยู่ด้านหลัง เพื่อไปขึ้นรถรางไฟฟ้าสนามบินแบบไม่มีคนขับ เพื่อไปที่เกทกันเลยค่ะ ซึ่งเกทจะมีการเปลี่ยนแปลงตามเที่ยวบินหรือเวลาบินในแต่ละวัน เพราะฉะนั้นเช็คที่ตั๋วเครื่องบินหรือเช็คจากตารางการบินก่อนมุ่งหน้าไปที่เกทด้วยนะคะ เที่ยวบินของสายการบินไทยจะบินวันละ 2 เที่ยว เที่ยวบินรอบเช้าจะเป็นเครื่องลำใหญ่ A380 ส่วนเที่ยวบินรอบเย็นของ ICHIGO-CHAN จะเป็นเครื่องบินลำใหม่ล่าสุด A350 ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางจากโอซาก้าไปกรุงเทพ 6 ชั่วโมง 20 นาที ในเครื่องลำใหม่ล่าสุดนี้จะมีบริการถ่ายทอดโทรทัศน์ด้วยตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป(ตอนที่ ICHIGO-CHAN ไปมีถ่ายสดฟุตบอลเวิลด์คัพด้วย)ดูไปเพลินๆ แปปเดียวก็มาถึงที่กรุงเทพเลย

เป็นยังไงกันบ้างคะ กับทริปท่องเที่ยว “ฟุกุอิ” และ “ชิงะ” ของเราในครั้งนี้  ถึงแม้ว่าสถานที่ที่เราไปในครั้งนี้จะเป็นเมืองที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนักสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย แต่ไม่ว่าที่ไหนๆ ก็เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ ประวัติความเป็นมายาวนาน เพียงแค่เดินทางออกมาจากเกียวโต หรือโอซาก้าเพียงแปปเดียวเท่านั้น ก็สามารถท่องเที่ยวญี่ปุ่นในบรรยากาศที่แตกต่างออกไปจากสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองยอดนิยมหรือเมืองใหญ่เลย ยังไงลองเลือก “ฟุกุอิ” หรือ “ชิงะ” เป็นตัวเลือกในการท่องเที่ยวญี่ปุ่นในครั้งต่อไปของเพื่อนๆ ดูนะคะ แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้าค่ะ

【ตารางการเดินทาง Day4-2 UMEDA SKY BUILDING/KANSAI INTERNATIONAL AIRPORT】

        Go to the top Page        

  ◀ BACK