Day3-6 จบทริป! ทานแกงกะหรี่สไตล์ญี่ปุ่นที่ร้าน SAN MARCO และเดินทางไปยัง “ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ”

เที่ยวด้วย Pass สุดคุ้ม

ของเราคือ รีวิวการท่องเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง

ติดตามรีวิวของแต่ละวันในทริป

พร้อมตารางการเดินทาง ค่าใช้จ่าย และ Pass ต่างๆ

Day3-6 จบทริป! ทานแกงกะหรี่สไตล์ญี่ปุ่นที่ร้าน SAN MARCO และเดินทางไปยัง “ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ”

HYOGO-KYOTO-OSAKA-NARA

หลังจากที่ ICHIGO-CHAN ได้แวะไปที่คาเฟ่「NARA HOTEL」เรือนรับรองแขกของประเทศประจำนารา สัมผัสธรรมชาติในฤดูกาลต่างๆ และได้พบกับเจ้ากวางในนาราแล้ว เราได้เริ่มท่องเที่ยวจาก「NARAMACHI」จากนั้นก็ได้ไปที่ “วัดโทได” “ภูเขาวะคะคุสะ” และ “ศาลเจ้าคะซุงะ” ที่เรียกได้ว่าเป็นการท่องเที่ยวเมืองนาราไปแบบเต็มที่มากๆ และเราก็ได้เดินทางกลับมาที่โอซาก้าที่พักของเราในคืนนี้กันแล้ว

Day3-5 เที่ยวชม NARA HOTEL พร้อมเดินทางจากนาราไปยังตัวเมืองโอซาก้า

ซึ่งอาหารค่ำของวันนี้เราจะไปทานหนึ่งในร้านแกงกะหรี่สไตล์ญี่ปุ่นที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่คนไทย ไม่แพ้ร้าน「CoCo ICHIBANYA (โคโค่ อิชิบันยา)」กับร้าน「SAN MARCO」กันค่ะ

การท่องเที่ยวแถบคันไซด้วยพาสสุดคุ้ม「KANSAI ONE PASS」เป็นเวลา 5 วัน 3 คืน ในตอนที่ 16 นี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปทานแกงกะหรี่สไตล์ญี่ปุ่นที่ร้าน「SAN MARCO」และเดินทางไปท่าอากาศยานนานาชาติคันไซกันค่ะ

ร้าน「SAN MARCO」นี้หากออกจากช่องตรวจตั๋วรถไฟคินเท็ตสึ หรือรถไฟใต้ดินสายเซ็นนิจิมาเอะของสถานีนัมบะไป ร้านจะอยู่ทางซ้ายมือ และเดินไปอีกประมาณ 30 วินาที จะเจอร้านอยู่ทางขวามือเลยค่ะ โดยร้าน『SAN MARCO』เป็นร้านที่มีตั้งแต่เมนูเรียบๆ อย่างแกงกะหรี่เนื้อ ไปจนถึงข้าวแกงกะหรี่ห่อไข่ หรือข้าวฮายาชิไรส์ ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไม่น้อยเลยทีเดียว

ซึ่งที่ร้านจะมีคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ และภาษาจีนอยู่ด้วย เราเข้าไปในร้านกันเลย

บรรยากาศภายในร้านตกแต่งดูดี และมีที่นั่งแบบเคาน์เตอร์ล้อมรอบส่วนครัว ซึ่งเราจะได้เห็นส่วนครัวอยู่ตรงหน้าเลย เดิมทีเป็นร้านที่มีสาขาหลักๆ อยู่ในแถบคันไซเท่านั้น แต่ปัจจุบันก็ได้เริ่มมีสาขาเพิ่มมากกขึ้นในโตเกียว หรือฟุกุโอกะอีกด้วย หากไปช่วงเวลาอาหารกลางวันก็อาจต้องรอคิวกันเลยทีเดียว

เมื่อหลักๆ ของที่ร้านจะมีอยู่ประมาณ 20 เมนู ซึ่งเพื่อนๆ สามารถเลือกท้อปปิ้งที่มีให้เลือกมากมายเพิ่มเติมได้ตามความชอบ ซึ่งเมนูเรียบๆ อย่างแกงกะหรี่เนื้อจะอยู่ที่ 691 เยนรวมภาษี ซึ่งถือว่าถูกมากๆ นอกจากนี้ยังมีข้าวแกงกะหรี่ห่อไข่อีกอยู่ด้วย(751 เยน)เท่านั้นไม่พอยังมีท้อปปิ้ง “หอยนางรม” อยู่อีกด้วย

เมนูอาหารนั้นนอกจากภาษาญี่ปุ่นแล้วยังมีรูปภาพประกอบอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นสามารถสั่งได้ไม่ยาก แต่ถึงอย่างนั้นที่ร้านก็เมนูภาษาอังกฤษ จีน หรือเกาหลีเตรียมเอาไว้ด้วย สำหรับเมนูหลักๆ จำนวน 12 เมนู

ครั้งนี้ ICHIGO-CHAN ได้สั่งเป็น “ข้าวแกงกะหรี่หอยนางรมทอด”(880 เยน)ที่เสริฟ์แกงกะหรี่หอมอร่อย พร้อมหอยนางรมทอดกรอบ ที่กรอบนอกและนุ่มใน เป็นเมนูเต็มอิ่มในราคาเพียง 250 บาทเท่านั้น แน่นอนว่าทานที่ญี่ปุ่นก็ต้องอร่อยกว่าและเต็มอิ่มกว่าทานที่ไทยแน่นอนค่ะ

การชำระเงินของที่ร้านนั้นนอกจากเงินสดแล้ว ยังสามารถชำระได้ด้วยบัตรเครดิต หรือ LINEPAY อีกด้วยค่ะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลเงินสดที่เหลือเพียงน้อยนิดในช่วงท้ายทริปกันเลย เมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว เราจะกลับไปที่โรงแรมกันเลย ซึ่งการเดินทางจากร้าน SAN MARCO ไปยัง โรงแรมนั้นระหว่างทางเพื่อนๆ จะได้เพลิดเพลินกับ “ป้ายกุลิโกะ” หรือ “ป้ายปูยักษ์” ส่งท้ายได้อีกด้วย

เมื่อออกจากร้านแล้ว ก็เดินไปทางซ้ายมือ จากนั้นก็ขึ้นบันไดที่อยู่ตรงหน้า ก็จะเจอเส้นทางสายหลักของโอซาก้าที่เชื่อมระหว่างทางเหนือและใต้กับ “เส้นทางมิโดซึจิ” เมื่อขึ้นบันไดไปแล้วก็เดินไปทางซ้ายมือ จากนั้นก็ตรงไปเรื่อยๆ เพื่อไปที่โดทงโบริ ซึ่งสะพานที่พาดผ่านแม่น้ำอยู่นี้ก็คือสะพานที่มี “ป้ายกูลิโกะ” นั่นเอง

 “ย่านโดทงโบริ” ที่เป็นย่านดังของโอซาก้า เชื่อมระหว่างทางตะวันตกไปจนถึงตะวันออกของนัมบะ เป็นบริเวณที่มีสถานที่ท่องเที่ยว หรือจุดถ่ายรูปยอดนิยมอยู่มากมาย ทั้ง “ป้ายปูยักษ์” “ป้ายปลาปักเป้า” “ป้ายปลาหมึกยักษ์” ของร้านทาโกยากิ ที่เรียกได้ว่าเป็นบริเวณที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติมากมายเกือบตลอดทั้งปี

นอกจากร้านอาหารต่างๆ มากมายแล้ว ยังเป็นย่านที่เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่มีทั้งร้าน Drud Store ร้านร้อยเยน หรือร้านของฝากต่างๆ มากมาย ช้อปปิ้งได้อย่างเต็มที่ก่อนกลับโรงแรมกันเลย

เดินจากย่านโดทงโบริ มาที่ โรงแรม CANDEO HOTELS OSAKA NAMBA นั้นใช้เวลาเพียง 3 นาทีเท่านั้น ซึ่งภายในโรงแรมนี้เป็นโรงแรมที่สะดวกสบายมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายทั้งห้องอาบน้ำรวมขนาดใหญ่ หรืออาหารเช้า ฯลฯ อีกมากมาย สามารถอ่านรีวิวได้จากตอนก่อนหน้านี้เลย

หลังจากที่ ICHIGO-CHAN ได้เข้าพัก CANDEO HOTELS OSAKA NAMBA ไปแล้วเมื่อคืน และแล้วทริปท่องเที่ยว “เฮียวโงะ” “เกียวโต” “โอซาก้า” และ “นารา” ของเราก็เข้าสู่ช่วงท้ายของทริปกันแล้ว เราจะเดินทางไปท่าอากาศยานนานาชาติคันไซจากสถานีโอซาก้านัมบะ ด้วยรถไฟนันไคกันค่ะ

การเดินทางจาก “สถานีนัมบะ” ไปยัง “ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ” นั้นสามารถเดินทางด้วย Limited Express rapi:t ที่ใช้เวลาในการเดินทาง 38 นาที วิ่งชั่วโมงละ 2 เที่ยว หรือ Express ที่ใช้เวลาในการเดินทาง 45 นาที วิ่งชั่วโมงละ 3-4 เที่ยว

เพื่อนๆ สามารถเดินจาก โรงแรม CANDEO HOTELS OSAKA NAMBA ไปยังสถานีนันไคนัมบะได้โดยใช้เวลาประมาณ 7-8 นาที โดยจะต้องเดินมาตามโททงโบริไปจนถึงเส้นมิโดซึจิ จากนั้นก็เดินไปทางซ้ายมือและตรงไปเรื่อยๆ ก็จะเจอเทอร์มินอลสถานีรถไฟนันไคนัมบะขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้าเลย ซึ่งภายในสถานีรถไฟนันไคนัมบะนี้ จะมีห้างทาคาชิมายะสาขาหลัก ที่เป็นห้างเดี๋ยวกับที่เปิดใหม่ที่ไอค่อนสยามที่กรุงเทพมหานครอีกด้วย ภายในห้างก็จะมีร้านค้าแบรนด์ดังต่างๆ มากมายอย่างเช่น BAOBAO ISSEY MIYAKE เป็นต้น สามารถเพลิดเพลินกับการช้อปปิ้งได้เต็มที่ภายในสถานีเลย

เมื่อเข้าไปในสถานีแล้วก็จะเห็นลานกว้างจุดนัดพบอยู่ตรงหน้า เมื่อเข้าไปแล้วก็ขึ้นบันไดเลื่อนไปที่ชั้น 3F เพื่อไปชั้นที่มีชานชาลาและช่องตรวจตั๋วกันเลย

เมื่อขึ้นบันไดเลื่อนมาแล้วก็จะเจอเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติและช่องตรวจตั๋วอยู่ตรงหน้า

จากสถานีรถไฟนันไคนัมบะ NANKAI NAMBA STATION ไปสนามบินคันไซ นั้น สามารถไปได้ 2 วิธีก็คือ รถไฟแบบ Limited Express rapi:t หรือ Express ซึ่ง Limited Express rapi:t จะวิ่งทุกๆ

30 นาทีเป็นที่นั่งแบบ Reclining Seat รวมราคาทั้งหมดรวมตั๋วรถด่วนพิเศษเที่ยวละ 1270 เยน

ส่วน Express จะแล้วแต่ช่วงเวลาแต่ส่วนมากก็จะวิ่งทุกๆ 15 นาทีหรือ 20 นาที เป็นที่นั่งแบบ Long Seat ราคาเที่ยวละ 920 เยน

ซึ่งถ้าเราจ่ายเพิ่มเพียง 350 เยนเท่านั้นก็จะได้นั่งที่นั่งแบบสบายๆ Reclining Seat เลย อีกทั้งยังมีที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่สำหรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย แนะนำ Limited Express rapi:t  เลยค่ะ ตั๋ว Limited Express

rapi:t จะไม่สามารถซื้อได้จากเครื่องจำหน่ายตั๋วได้เพราะฉะนั้นต้องไปซื้อที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว ซึ่งสามารถชำระด้วยบัตรเครดิตได้ค่ะ อย่างเช่น VISA เป็นต้น

รถไฟ Limited Express rapi:t หน้าตาแบบนี้เลยค่ะ เหมือนหุ่นยนต์เลย แฟนพันธุ์แท้รถไฟชอบกันมากๆ เลย บางคนถึงกับบินมากจากไต้หวันหรือเกาหลีเพื่อมานั่ง rapi:t นี้โดยเฉพาะด้วยนะคะ ภายในรถไฟก็จะเป็นที่นั่งแบบ Reclining Seat ลายเสือดาว กับหน้าต่างทรงกลม และจะมีโซนเก็บของที่มีโซ่พร้อมที่ล็อคเก็บสัมภาระอีกด้วยค่ะ

การท่องเที่ยวรอบแถบคันไซด้วยพาสสุดคุ้ม「KANSAI ONEPASS」เป็นเวลา 5 วัน 3 คืนในครั้งนี้เราได้เที่ยวแถบคันไซทั้งหมด 4 จังหวัดคือ “เฮียวโงะ” “เกียวโต” “โอซาก้า” และ “นารา” แบบสุดคุ้มด้วย「KANSAI ONEPASS」

ซึ่งพาสนี้นั้นนอกจากจะสามารถรับสิทธิพิเศษต่างๆ มากมายอย่างเช่น ส่วนลดบัตรเข้าชมปราสาทฮิเมจิ หรือวัดโทได ฯลฯ อีกมากมายแล้ว ยังเป็นพาสเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการท่องเที่ยวแถบคันไซ ลายบัตรก็น่ารัก สามารถนำกลับไปเป็นที่ระลึกได้อีกด้วย

「KANSAI ONEPASS」นี้จะไม่มีวันหมดอายุการใช้งาน เพราะฉะนั้นหากเพื่อนๆ ได้มาท่องเที่ยวในแถบคันไซอีกรอบก็สามารถนำมาใช้ได้อีกค่ะ ดีมากๆ เลย

ออกจากสถานีนัมบะมา 38 นาทีและแล้วเราก็มาถึงสนามบินนานาชาติคันไซกันแล้ว ซึ่งสถานีรถไฟกับเทอร์นินอล 1 ของสนามบินจะมีสะพานเชื่อมกันอยู่ ดังนั้นเมื่อถึงสถานีรถไฟแล้ว

ก็ขึ้นบันไดเลื่อนหรือลิฟต์เพื่อขึ้นมาที่ชั้นช่องตรวจตั๋วเลยค่ะ เมื่อออกมาจากช่องตรวจตั๋วแล้วก็เลี้ยวไปทางซ้าย และเดินข้ามสะพานเพื่อเข้าไปในตัวอาคารสนามบินเลยค่ะ

จากนั้นเมื่อเข้ามาในสนามบินแล้วก็ขึ้นลิฟต์ทางฝั่งซ้ายหรือขวาเพื่อขึ้นไปที่ชั้น 4F ค่ะ

เมื่อมาถึงชั้น 4F แล้วก็จะเจอหน้าจอแสดงสายการบินต่างๆ เพราะฉะนั้นสามารถเช็คเคาน์เตอร์เช็คอินได้จากหน้าจอนี้เลยค่ะ สายการบินไทยจะอยู่ที่ช่อง D ค่ะ

หากเป็นที่สนามบินนาริตะที่โตเกียวก็จะต้องเช็คอินจากเครื่องเช็คอิน SELF CHECK-IN ด้วยตัวเอง แต่ที่สนามบินคันไซจะมีพนักงานคอยดูแล และสามารถเช็คอินได้ที่เคาน์เตอร์เลยค่ะ แค่เตรียมพาสปอร์ต E Ticket และบัตร Mileage(ถ้ามี) ไว้เท่านั้น

ถ้าเช็คอินแล้ว แนะนำว่าให้เข้าไปในเกทเลยค่ะ ถ้าผ่านตม. ไปได้แล้ว ด้านในเกทก็จะมีร้านปลอดภาษีอยู่ มีทั้งสินค้าแบรนด์เนม เครื่องสำอาง หรือของฝากต่างๆ มากมาย อีกทั้งยังมี Uniqlo อยู่อีกด้วย ก่อนขึ้นเครื่องก็สามารถช้อปปิ้งกันได้เล็กน้อยอยู่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลเลยนะคะ ได้ของเล็กน้อยติดกลับไปก่อนกลับแน่นอนค่ะ

และตอนนี้ก็ได้เวลาขึ้นเครื่องกันแล้ว สายการบิน TG ที่เดินทางไปสู่กรุงเทพมหานครนั้นจะใช้เครื่อง A350 ในการเดินทาง และใช้เวลาในการบินประมาณ 6 ชั่วโมง

ในทริปนี้เราได้เริ่มท่องเที่ยวจาก “ปราสาทฮิเมจิ” จากนั้นก็ทานอาหารค่ำเป็น “เนื้อโกเบ” จากนั้นท่องเที่ยว “เกียวโต” “โอซาก้า” และ “นารา” เป็นทริปที่เราได้ “ช้อปปิ้ง” “สัมผัสธรรมชาติ” เที่ยวชม “วัด หรือ ศาลเจ้า” สัมผัส “ประวัติศาสตร์” และบรรยากาศ “ความเป็นญี่ปุ่น” ไปอย่างเต็มที่มากๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นทริปสั้นๆ เพียง 4 วันเท่านั้น แต่เราก็ได้เที่ยว “แถบคันไซ” ไปแบบหนำใจ ยังไงเพื่อนๆ ก็ลองเดินทางไปท่องเที่ยวแบบเราดูนะคะ แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้าค่ะ

【ตารางการเดินทาง Day3-6 Lunch at SAN MARCO/Kansai International Airport】

PASS ที่ใช้ใน TRIP นี้ “KANSAI ONE PASS”

        Go to the top Page        

  ◀ BACK