ROUND THE C・H・I
ของเราคือ ริวีวการท่องเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง
ติดตามรีวิวของแต่ละวันในทริป
พร้อมตารางการเดินทาง ค่าใช้จ่าย และ Pass ต่างๆ
Day3-3 แวะชมศาลเจ้าที่เป็นฉากในอนิเมะเรื่องเลิฟไลฟ์กับ “ศาลเจ้าคันดะ”「KANDA MYOJIN」ที่เก่าแก่ ต่อด้วยดินเนอร์ร้านเทมปุระ「SAZEN」ก่อนเดินทางไปสนามบินนาริตะ
TOKYO-ODAWARA-KAMAKURA-TOKYO
ICHIGO-CHAN ได้เที่ยวชม สวนโคเกียวไกเอ็น「KOKYO-GAIEN」สะพานนิจู「NIJUBASHI」และ สะพานหินเซมน「SEIMON ISHIBASHI」แล้ว
เราได้ชมซากุระแบบเต็มที่มากๆ และวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของทริปนี้แล้ว ซึ่งตอนนี้เราก็ได้มาถึงสถานที่สุดท้ายของทริปที่ ศาลเจ้าคันดะ『KANDA MYOJIN』แล้ว
ศาลเจ้าคันดะจะจัดเทศกาลคันดะ「KANDA MATSURI」ขึ้นทุกๆ 2 ปี ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม และตั้งแต่เมื่อไม่นานมานี้ก็ได้มีการร่วมคอลลาบอเรชั่นกับ『LOVELIVE』แม้แต่คนไทยบางคนก็รู้จัก ทำให้เหล่าแฟนๆ อนิเมะต่างเดินทางมาเข้าร่วมงานนี้กันเป็นจำนวนมากทั้งญี่ปุ่นและชาวต่างชาติเลย
ครั้งนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับ “ศาลเจ้าคันดะ KANDA MYOJIN” กันค่ะ ไปดูกันเลยย
“ศาลเจ้าคันดะ” ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 1300 ปีก่อน วัดที่มีความเก่าแก่นี้มีประตูวัดสีแดงตามภาพลักษณ์ของศาลเจ้าแบบทั่วไปที่เราคิดเอาไว้เลยค่ะ
เมื่อลอดผ่านประตูศาลเจ้าที่อลังการแล้ว ก็จะเข้ามาสู่ลานกว้าง ให้บรรยากาศที่เงียบสงบจนไม่อยากเชื่อเลยว่าศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโตเกียวเลย
นอกจาก “เทศกาลเท็นจิน TENJINMATSURI” ของโอซาก้า หรือ “เทศกาลกิออน GION MATSURI” ของเกียวโต ที่จัดอยู่ในหมวดของ NIHON SANDAI MATSURI (งานเทศกาลหลักๆ ขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น) แล้ว
เทศกาลคันดะ KANDA MATSURI ที่จัดขึ้นที่ศาลเจ้าแห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในงานเทศกาลใน NIHON SANDAI MATSURI ด้วยเช่นกัน ซึ่งงานเทศกาลนี้คนจะเยอะมากจนไม่มีที่ยืนเลยล่ะค่ะ
เทศกาลคันดะ「KANDA MATSURI」ที่มีชื่อเสียงของศาลเจ้าคันดะ หลังจากที่ได้โปรโหมทการร่วมคอลลาบอเรชั่นกับอนิเมะเรื่อง「LOVELIVE」ทำให้แฟนๆ ทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติต่างเดินทางมาเข้าร่วมงานเทศกาลของที่นี่ ภายในศาลเจ้ามีสินค้าที่ร่วมคอลลาบอเรชั่นระหว่างศาลเจ้าคันดะและอนิเมะเรื่องเลิฟไลฟ์ทั้ง เสื้อทีเชิ้ต(3000 เยน)ภาพแขวน(3000 เยน)เซ็ตแฟ้มใส่เอกสาร
3 อัน(1000 เยน)และยังมีคัสเตลลามันจู(900 เยน)ด้วย
อนิเมะเรื่อง「LOVELIVE」นี้เป็นอนิเมะที่มีเนื้อเรื่องอยู่ที่บริเวณคันตะ・ฮากิฮาบาระ หรือบริเวณที่ตั้งของศาลเจ้าคันดะ บรรยากาศรอบๆ นี้ก็จะปรากฏออกมาในเรื่องด้วย นอกจากนี้ตัวละครหนึ่งตัวก็ถูกวางให้เป็นมิโกะซังที่ช่วยงานอยู่ที่ศาลเจ้าคันดะ ซึ่งเราสามารถสัมผัสบรรยากาศในการ์ตูนได้แบบสมจริงเลยที่นี่
ทั้ง “เอมะ” ไม้ที่เอาไว้เขียนขอพรและแขวนที่วัด หรือซอฟท์ครีมที่จำหน่ายอยู่ล้วนเป็นสินค้าเฉพาะของเลิฟไลฟ์ เท่านั้นไม่พอมิโกะซังที่ทำงานอยู่ที่ศาลเจ้าแห่งนี้ก็ยังเหมือนตัวละครในการ์ตูนด้วย
เครื่องรางก็มีทั้งแบบธรรมดา และแบบอนิเมะเลิฟไลฟ์ สามารถเลือกซื้อได้ตามต้องการเลยค่ะ
ทั้งการโปรโหมทการร่วมคอลลาบอเรชั่นกับ「LOVELIVE」และการจำหน่ายสินค้าต่างๆ อาจทำให้รู้สึกว่าศาลเจ้าแห่งนี้ไม่ได้มีความเป็นทางการขนาดนั้น หรือพูดง่ายๆอาจคิดว่าไม่ค่อยขลังรึเปล่า แต่อันที่จริงแล้วศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่และมีประวัติความเป็นมายาวนานถึง 1300 ปีเลยทีเดียว ซึ่งเราสามารถสัมผัสกับความเป็นมาและความมผูกพันธ์กับพื้นที่ได้ทุกหนทุกแห่งภายในศาลเจ้าเลย
ในส่วนด้านข้างตัวศาลเจ้าหลักก็มีโคมไฟที่คนในท้องถิ่น(สำหรับผู้ที่บริจาคเงินให้แก่ศาลเจ้าคันดะ)นำมาถวายให้แก่วัดประดับอยู่ด้วย
และที่ด้านหน้าศาลเจ้าหลักก็มีสิงโตหินน่าเกรงขามอยู่ด้วย ซึ่งสิงโตหินนี้เป็นสิ่งที่จักรพรรดิองค์ที่ 3 ก่อนหน้า ก็คือ “จักรพรรดิเมจิ” ได้ถวายให้ศาลเจ้าเป็นที่ระลึกนั่นเอง
ที่ศาลเจ้านี้เราสามารถสัมผัสทั้งการร่วมคอลลาบอเรชั่นกับอนิเมะเลิฟไลฟ์ที่ให้ความรู้สึกทันสมัย ไปพร้อมๆกับความเก่าแก่และประวัติอันยาวนาน บวกกับความสวยงามของศาลเจ้าแห่งนี้ไปพร้อมๆ กันเลย
ตอนนี้ก็ได้เวลาเดินทางไปสนามบินนาริตะกันแล้วค่ะ เราจะเดินทางไปสนามบินนาริตะ จากสถานีกินซ่าด้วย「ACCESS NARITA」
การเดินทางจากศาลเจ้าคันดะไปสถานที่ขึ้นรสบัส ACCESS NARITA นั้นมีอยู่หลายวิธี แต่ครั้งนี้เราจะเลือกเดินไปที่สถานีอากิฮาบาระ AKIHABARA STATION และนั่ง JR เพื่อไปลงที่สถานียูระคุโจ YURAKUCHO STATION ซึ่งเราจะใช้เวลาเดินจากศาลเจ้าคันดะไป “อากิฮาบาระ”ประมาณ 10 นาที
ก่อนอื่นก็ต้องออกจากประตู ที่อยู่ด้านหน้าและตรงไปเรื่อยๆ ลอดผ่านโทริอิเพื่อออกมาสู่ถนนใหญ่ เมื่อออกมาสู่ถนนใหญ่แล้วเลี้ยวซ้ายและตรงไปเรื่อยๆ ประมาณ 7 นาทีก็จะเจอกับสี่แยกอากิฮาบาระ เลยค่ะ
แน่นอนว่าบริเวณใกล้เคียงจะมีร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า….
และร้านเมดคาเฟ่ ร้านขายสินค้าคอสเพลย์ หรือกันดั้มคาเฟ่ด้วย สมกับเป็นย่านอากิฮาบาระจริงๆ เลย
เมื่อเลี้ยวมาทางซ้ายจากโทริอิของศาลเจ้าคันดะ และเดินลงเนินมาเรื่อยๆ ก็จะเจอกับตึกที่ชื่อว่า UDX และหากเลี้ยวซ้ายที่ตรงนี้ไปก็จะเจอกันดั้มคาเฟ่ กับคาเฟ่ AKB สถานีอากิฮาบาระจะอยู่เลยไปอีกค่ะ
หากใครต้องการเที่ยวอากิฮาบาระให้เต็มที่กว่านี้ก็อยากแนะนำให้ไปร้านจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น “โยโดบาชิคาเมร่า สาขาอากิฮาบาระ”「YODOBASHI CAMERA AKIHABARA」เลยค่ะ
เมื่อเดินตรงมาจากศาลเจ้าคันดะเรื่อยๆ จนถึงตึก UDX ไม่ต้องเลี้ยวค่ะ แต่ให้ตรงไปเรื่อยๆ ลอดทางยกระดับ เส้นทางรถไฟ JR ก็จะเจอ「YODOBASHI CAMERA」อยู่ด้านขวามือเลย
ซึ่งสถานีอากิฮาบาระจะอยู่หน้าโยโดบาชิคาเมร่าเลย อยู่ตรงข้ามกันโดยมีสี่แยกไฟแดงกั้นเอาไว้เท่านั้น เพราะฉะนั้นไม่หลงแน่นอน
เดินเข้ามาภายในสถานีอากิฮาบาระจากประตูเข้าออกกลาง ก็จะเจอกับช่องผ่านตั๋ว ส่วนเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติจะอยู่ด้านขวามือค่ะ ก่อนอื่นก็ต้องซื้อตั๋วไป สถานียูราคุโจ YURAKUCHO STATION โดยเช็คราคาตั๋วจากบอร์ดแผนผังรถไฟที่อยู่บนเครื่องจำหน่ายตั๋ว ตั๋วรถไฟจากสถานีอากิฮาบาระไปสถานียูราคุโจ ราคา 160 เยน จากนั้นก็กดปุ่ม English ที่อยู่บนขวาหน้าจอ เพื่อเปลี่ยนภาษา และเลือก Ticket กดราคาตั๋วไปสถานียูราคุโจที่ราคา「160」ใส่เงินเข้าไป เท่านี้ก็เรียบร้อย
เมื่อซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้วก็ผ่านเข้าช่องตรวจตั๋วและตรงไปเรื่อยๆ ซักพักก็จะเจอชานชาลาเบอร์ 3 และ 4 อยู่ขวามือ ดังนั้นให้ขึ้นไปเลยค่ะ
โดยนั่งรถไฟเส้นยามาโนเตะ YAMANOTE LINE ที่ชานชาลาเบอร์ 3 ที่สถานีอากิฮาบาระ เพื่อไปลงสถานีที่ 3 “สถานียูราคุโจ”
เมื่อถึงสถานียูราคุโจแล้วก็ลงบันไดเลื่อนที่อยู่ในชานชาลา เมื่อลงมาชั้นล่างแล้ว ผ่านช่องตรวจตั๋วออกมา และเดินเยื้องไปทางซ้าย ที่สามารถมองเห็นตึกสูง(YURAKUCHO MULLION)เดินไปซักพักก็จะมาถึงสามแยก ให้เลี้ยวซ้าย และเดินไปเรื่อยๆ ไปจนเจอถนนทางด่วนยกระดับ จุดขึ้นรถบัส ACCESS NARITA ที่จะมุ่งหน้าไปสู่นาริตะจะอยู่อีกด้านของถนนยกระดับนี้ค่ะ
ซึ่งก่อนขึ้นรถบัสเราจะเข้าไปใน『GINZA INZ』ย่านร้านค้าที่อยู่ใต้ทางยกระดับนี้ โดยลงบันไดไปชั้นใต้ดินไปสู่ย่านร้านอาหารเพื่อทานอาหารเย็นกันก่อนค่ะ
และร้านที่เราเลือกในวันนี้ก็คือ ร้านเทมปุระ『SAZEN』ที่อยู่ภายใน「GINZA INZ」
เมื่อเข้ามาในร้านก็จะเห็นที่นั่งแบบเคาน์เตอร์ที่มีพ่อครัวทอดเท็มปุระอยู่ตรงหน้าอยู่ 13 ที่นั่ง เมื่อเข้ามาด้านในอีกก็จะมีที่นั่งแบบกลุ่มอยู่ด้านซ้ายมือ ที่นั่งได้ทีเดียว 10 คน นอกจากนี้ก็มีห้องส่วนตัวสำหรับ 8 ที่นั่งด้วย แต่ห้องส่วนตัวต้องจองล่วงหน้านะคะ
ที่ร้านนี้ช่วงเวลาอาหารกลางวันคนจะเยอะมากจนไม่สามารถจัดให้ลูกค้าที่มาเป็นกลุ่มนั่งด้วยกันได้เลย แนะนำว่าให้ไปเวลาที่คนไม่ค่อยเยอะอย่าง ก่อนเที่ยง หรือตั้งแต่บ่ายโมงครึ่งเป็นต้นไปค่ะ
ซึ่งเมนูช่วงเวลากลางวันจะมีให้เลือกอยู่ 5 เมนู คือ
“เท็นโทจิโซบะ เทโชกุ” ข้าวหน้าเท็มปุระแบบชุปไข่กับโซบะเป็นเซ็ตอยู่ในชุด(1200 เยน)
“คุโรบูตะเท็มปุระเทโชกุ” ชุดเท็มปุระ ประกอบไปด้วย หมูคุโรบุตะเท็มปูระที่ใช้หมูคุโรบูตะจากคาโกชิมะ และโซบะ(1300 เยน)
“เท็นดง เทโชกุ” ชุดเท็นดง ที่มีกุ้งเท็มปุระตัวใหญ่โปะอยู่บนข้าว(1200 เยน)
“ยาไซเท็มปุระ เทโชกุ” ข้าวหน้าเท็มปุระผัก(7 ชนิด)และโซบะ(1350 เยน)
และ กุ้ง 3 ตัว ปลา ผัก(4 ชนิด)เสิร์ฟพร้อมกับโซบะในเมนู “เท็มปุระเทโชกุ”(1350 เยน)
(เรียงลำดับตามภาพ)
ซึ่งโซบะที่อยู่ในเซ็ตสามารถเลือกได้ว่า ต้องการโซบะ “เย็น” หรือ “ร้อน”
และที่ ICHIGO-CHAN เลือกในวันนี้ก็คือ “เท็มปุระเทโชกุ”(1350 เยน)เราสามารถเลือกทานเท็มปุระกับเกลือหรือซอสก็ได้ค่ะ ทั้งเท็มปุระกุ้งและเท็มปุระผักกรอบและหอมมากๆ ได้ทานเท็มปุระแบบดั้งเดิมที่พ่อครัวทอดให้แบบร้อนๆ ในราคาที่ไม่แพงมาก นอกจากเท็มปุระแล้วก็ยังมีโซบะที่มาคู่กันในเซ็ต เป็นเส้นโซบะแบบนวดมือ ทำจากแป้งโซบะ และแป้งสาลี ซึ่งเส้นของที่นี่จะต่างกับที่อื่น ถ้าเป็นร้านโดยทั่วไปด้วยราคาและขั้นตอนการทำก็จะใส่แป้งโซบะ และแป้งสาลีในปริมาณ 50:50 แต่ที่นี่ใช้แป้งในสัดส่วนแป้งโซบะ 80:แป้งสาลี 20 เลย ได้ทานทั้งโซบะของแท้แบบดั้งเดิมและเท็มปุระร้อนๆ แบบนี้เป็นมื้อท้ายของทริปที่ดีมากๆ จริงๆ
ICHIGO-CHAN ทานอาหารเย็นเรียบร้อยย ออกมาจากร้านไปทางขวามือเลย และออกจากประตูตึก「GINZA INZ」ไปทางซ้าย เราจะเจอช่องตรวจตั๋วรถไฟใต้ดินอยู่ตรงหน้าเลย เราจะไม่ผ่านเข้าไป แต่จะเลี้ยวไปทางซ้ายเพื่อไปเอาของที่เราฝากไว้ที่ล็อคเกอร์เมื่อเช้าค่ะ เวลานำของออกก็ใช้ PIN NO จากกระดาษที่ได้มาตอนฝากของเลยค่ะ
เอาของเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นบันไดเลื่อนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนนเพื่อขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นบนดิน และเมื่อขึ้นมาแล้วก็จะเจอจุดขึ้นรถบัส「Narita Airport」เลยค่ะ ไปต่อแถวกันเลย
『ACCESS NARITA』ที่เชื่อมระหว่างกินซ่า สถานีโตเกียวประตูยาเอซุ และสนามนาริตะ
รถบัสที่ออกจาก สถานีกินซ่า ช่วงเวลา 5:30 ถึง 8:00 วิ่งทุกๆ 10-15 นาที และช่วงเวลา 8:00 ถึง 18:00 วิ่งทุกๆ 30 นาที
ส่วนรถบัสที่ออกจาก สถานีโตเกียว จะวิ่งทุกๆ 10-20 นาที
เราสามารถขึ้นไปบนรถและจ่ายค่ารถ 1000 เยน ได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องจองที่นั่งล่วงหน้า นอกจากนี้หากมากันเป็นกลุ่ม 11 คนขึ้นไปก็มีตั๋วแบบคูปอง回数券(KAISUUKEN)อ่านว่า ไคซูเค็น ที่ซื้อตั๋วในราคา 10 ใบ แต่จะได้ตั๋ว 11 ใบ(BUY 10 GET 1 FREE)หากต้องการซื้อก็ถามที่คนขับรถได้เลย
หากนั่งรถไฟจากโตเกียวมาสนามบินนาริตะ(แบบด่วนพิเศษ)ก็จะเสีย 3000 เยนเลย เฉพาะฉะนั้นถ้าเรานั่งบัสก็จะถูกกว่าไปเยอะเลย
หากเทียบกับรถไฟที่มีการกำหนดเวลาเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว ก็อาจจะต้องเสียเวลาไปกับรถติดบ้าง เพราะฉะนั้นลองคำนวนเวลาและราคาให้เหมาะสมกับแต่ละคนดูนะคะ
ICHIGO-CHAN คงจะโชคดีมาก เพราะว่ารถบัสที่เรานั่งมาถึงเร็วกว่าเวลาด้วย ใช้เวลาเดินทางมาสนามบินนาริตะแค่ 50 นาทีเอง
ครั้งนี้เรากลับไทยด้วยเที่ยวบิน TG677 ค่ะ เป็นเครื่องบิน A380 ลำใหญ่ทำให้คนที่มารอเช็คอินเยอะมากๆ แต่เรามาถึงก่อนเวลาอยู่แล้วก็ไม่ต้องห่วงอะไรแล้วค่ะ
・สวนฮามะริคิว HAMARIKYU-ONSHI PARK(浜離宮恩賜公園)
・แม่น้ำซุมิดะ SUMIDAGAWA(墨田川)
・สวนซุมิดะ SUMIDA PARK(隅田公園)
・สวนอุเอโนะ UENO PARK上野公園)
・ชิโนบาสึอิเกะเบ็นไซเท็น SHINOBAZUIKE BENZAITEN(不忍池弁財天)
・ศาลเจ้าฮานะโซโนะ HANAZONO JINJA(花園神社)
・ปราสาทโอดาวาระ ODAWARA CASTLE(小田原城)
・วัดฮาเสะ HASE DERA(長谷寺)
・ศาลเจ้าสึรุงะโอกะฮาจิมังกุ TSURUGAOKAHACHIMANGU(鶴岡八幡宮)
・สวนโคเคียว ไกเอ็น KOYKO-GAIEN(皇居外苑)
เป็นทริป 4 วัน 2 คืนที่เราได้ชมซากุระแบบเต็มอิ่มมากๆ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เห็นซากุระแบบบานเต็มที่ ด้วยสาเหตุว่าซากุระปีนี้บานเร็วกว่าปีก่อนๆ ไป 10 วันหรือมากกว่า แต่เราก็ได้เที่ยวอย่างเต็มที่มากๆ เป็นทริปสั้นๆ ที่แค่ลาหยุดเพียง 1 วันก่อนหลังวันเสาร์หรืออาทิตย์เท่านั้นเราก็จะได้วันหยุดติดกัน 3 วัน แค่สามวันก็เพียงพอให้เราได้เที่ยวญี่ปุ่นแบบเต็มที่เลยนะคะ
ยังไงเพื่อนๆ ก็ลองนำทริปแบบ ICHIGO-CHAN ไปเที่ยวชมซากุระแบบเต็มอิ่มดูในปีหน้านะคะ พบกันใหม่ในทริปหน้านะคะ♪
【ตารางการเดินทาง Day3-3 KANDA-MYOJIN/NARITA AIRPORT】