เที่ยวด้วย Pass สุดคุ้ม
ของเราคือ ริวีวการท่องเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง
ติดตามรีวิวของแต่ละวันในทริป
พร้อมตารางการเดินทาง ค่าใช้จ่าย และ Pass ต่างๆ
Day2-2 เที่ยวชมหมู่บ้านโบราณแห่งมรดกโลก “ชิราคาวาโกะ” พร้อมทานอาหารขึ้นชื่อของพื้นที่
NAGOYA- TAKAYAMA- SHIRAKAWAGO- TOYAMA- ALPENROUTE- MATSUMOTO- TSUMAGOJUKU- NAGOYA
พาสสุดคุ้มที่ใช้ในการท่องเที่ยวในทริปนี้ก็คือ พาสที่จำหน่ายโดยบริษัทรถไฟญี่ปุ่นตอนกลาง Central Japan Railway Company หรือ JR TOKAI กับพาสสุดคุ้ม『Alpine-Takayama-Matsumoto Area Tourist Pass』
หากเดินทางจากประเทศไทย บินตรงมายัง “นาโกย่า” สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวยัง “เกโระออนเซ็น Gero Onsen” ที่อยู่ท่ามกลางหมู่เขา “ฮิดะทาคายาม่า” “โทยามะ” หรือ เส้นทางรถไฟที่เชื่อมระหว่าง เมืองพักแรมที่เรียกว่า “คิโซะจิ KISOJI” อย่าง “เส้นทางอัลไพน์” “มัตสึโมโตะ” “นาราอิจุกุ” หรือ “ซึมาโกะจุกุ” ได้เท่านั้นไม่พอยังสามารถ นั่งยานพาหนะของเส้นทางอัลไพน์ได้ไม่อั้นอีกด้วย(อย่างเช่น กระเช้าลอยฟ้า เป็นต้น)
ยกตัวอย่างการเดินทางด้วยการนั่งรถไฟ「LIMITED EXPRESS WIDE VIEW HIDA」จาก นาโกย่า ไป โทยามะ ราคาปกติจะอยู่ที่ 7650 เยน(ช่วงเวลาปกติ・Reserved Seat)และนั่งรถไฟจากโทยามะ ไปจนถึงเส้นทางอัลไพน์ และผ่านเข้าสู่เมือง Shinano Omachi(信濃大町) ฝั่งจังหวัดนางาโนะ ปกติอยู่ที่ 10,850 เยน รวมราคาแล้วเป็น 18,500 เยน แค่คิดเพียงเท่านี้ก็แทบจะคืนทุนได้เลยทีเดียว
หลังจากที่ ICHIGO-CHAN ได้เที่ยวภายในเมือง “ทาคายาม่า” ทั้งบรรยากาศบ้านเมืองเก่าแก่ของญี่ปุ่นสมัยโบราณ และตลาดเช้ามิยางาวะที่เต็มไปด้วยร้านอาหารแผงลอย หรือ ร้านขายของฝากต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะอาหาร “ทาคายาม่า” ที่มีทั้ง “เนื้อฮิดะ HIDA GYU” หรือ “ทาคายาม่าราเม็ง” ถึงจะเป็นช่วงระยะเวลาไม่นานแต่ก็ได้สัมผัสเมืองทาคายาม่าอย่างเต็มที่
ซึ่งทริปในครั้งนี้จะเป็นการท่องเที่ยวสุดคุ้มด้วยพาส「Alpine-Takayama-Matsumoto Area Tourist Pass」ในตอนที่ 5 เราจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวชม “ชิราคาวาโกะ” ที่รอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ หุบเขาที่อุดมสมบูรณ์ ชมบ้านสไตล์หลังคาฟางภูมิปัญญาของคนในเมืองชิราคาวาโกะ
“ชิราคาวาโกะ” ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของประเทศญี่ปุ่น ที่จะได้สัมผัสกับเสน่ห์ของพื้นที่แห่งนี้ได้ในทุกๆ ฤดูที่แตกต่างกันออกไป
จุดเริ่มต้นของต้นไม้ใบหญ้าและดอกซากุระ ใน “ฤดูใบไม้ผลิ”
ความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธรรมชาติที่เขียวชอุ่มใน “ฤดูร้อน”
ดอกดาวกระจาย และใบไม้เปลี่ยนสี ใน “ฤดูใบไม้ร่วง”
และหิมะที่ขาวโพลนใน “ฤดูหนาว”
เพื่อชมความสวยงามทั้ง 4 ฤดูของประเทศญี่ปุ่น
ในครั้งนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปชมการเริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วงในช่วงดอกดาวกระจายที่สวยงามที่ “ชิราคาวาโกะ” กันค่ะ
การเดินทางจาก “ทาคายาม่า” ไปยัง “ชิราคาวาโกะ” นั้น แนะนำว่าเดินทางด้วยรถบัสจะสะดวกที่สุดค่ะ โดย ณ ข้อมูลปัจจุบัน เดือนตุลาคม ปีพ.ศ. 2561 รถบัสจะวิ่งวันละ 16 เที่ยว สามารถนั่งรถบัสจาก “Takayama Nohi Bus center” ที่อยู่ข้างสถานีทาคายาม่าได้เลย ซึ่งจะใช้เวลาในการเดินทางไป “Shirakawa-go Bus Terminal” ประมาณ 50 นาที รถบัสที่มุ่งหน้าจากทาคายาม่าไปชิราคาวาโกะจะออกตัวจากจุดขึ้นรถหมายเลข 4 สามารถนั่งรถบัสที่มุ่งหน้าไปสู่ “โทยามะ” “คานาซาว่า” หรือ “ชิราคาวาโกะ” เพื่อไป “ชิราคาวาโกะ” ได้ทั้งหมด ไม่ว่ารถบัสคันไหนก็จะเป็นที่นั่งแบบ 4 แถวReclining Seat รับรองว่าสามารถนั่งแบบสบายๆ ได้ตลอดการเดินทางเลย
เมื่อรถบัสออกตัวจากฮิดะทาคายาม่ามาซักพัก ก็จะเริ่มเข้าสู่เส้นทางด่วน วิวที่จะได้ชมระหว่างการเดินทางก็จะเป็นวิวป่าเขาที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ ที่ไม่สามารถสัมผัสบรรยากาศแบบนี้ได้จากในเมืองโอซาก้า หรือโตเกียว ยิ่งหากเข้าสู่ช่วงตั้งแต่ฤดูหนาว ไปจนถึง ฤดูใบไม้ผลิ สามารถชมหมู่เขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ได้นั่งชมวิวธรรมชาติของญี่ปุ่นไประหว่างทาง 50 นาที ก็รู้สึกว่าแปปเดียวมากๆ และเราก็ได้เดินทางมาถึง“Shirakawa-go Bus Terminal” เป็นที่เรียบร้อย
ที่แห่งนี้เป็นเทอร์มินอลบัสที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในปีพ.ศ.2555 มีสำนักงานให้ข้อมูลการท่องเที่ยว พร้อมสตาฟที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ นอกจากนี้ยังมีแผนที่ภายในหมู่บ้านชิราคาวาโกะที่เป็นภาษาต่างประเทศอยู่มากมายหลายภาษา และที่สำคัญคือ มีภาษาไทยด้วยค่ะ เท่านั้นไม่พอยังมีที่แลกเงินด้วย แน่นอนว่าสามารถแลกเงินไทยเป็นเงินเยนได้เช่นกันค่ะ
ถึงแม้ว่าที่ “Shirakawa-go Bus Terminal” นี้จะมีตู้ล๊อคเกอร์หยอดเหรียญฝากสัมภาระเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่ตู้จะเต็มค่ะ เพราะว่านักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันเยอะมากๆ เพราะฉะนั้นเราจะไปฝากของที่จุดฝากของที่อยู่หลัง “Shirakawa-go Bus Terminal” กันค่ะ สามารถฝากกระเป๋าขนาดใหญ่ได้เช่นกัน ราคาจะอยู่ที่กระเป๋าเดินทางหนึ่งใบ 500 เยน แต่ทว่าจุดฝากสัมภาระนี้จะเปิดปิดเป็นเวลาต่างจากล๊อคเกอร์คือจะปิดให้บริการเวลา 17:00 น. เพราะฉะนั้นจะต้องมารับสัมภาระคืนภายในเวลา 17:00 น. นะคะ
ซึ่งภายในแผนที่ภาษาไทย จะบอกสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ไว้อย่างละเอียด ซึ่งจุดที่ ICHIGO-CHAN คิดว่าเพื่อนๆ ไม่ควรพลาดเลยก็คือจุดที่อยู่ในวงกลมสีส้ม ทั้ง 2 จุด หนึ่งจุดจะตั้งอยู่หลังเทอร์มินอลบัสที่อยู่ในวงกลมสีแดง ก็คือ “จุดชมวิว Tensyukaku View Point” (ในวงกลมสีส้มด้านซ้าย)ที่สามารถเดินขึ้นเขาไปดูได้ และอีกจุดหนึ่งก็คือ “คันมาจิ”「KANMACHI(かんまち)」ที่เพื่อนๆ จะได้ชมวิวบ้านหลังคาฟางที่เรียงกันอยู่สามหลังไฮท์ไลท์ของหมู่บ้านแห่งนี้(ในวงกลมสีส้มด้านขวา)
ตอนนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ก่อนจะไปที่ “คันมาจิ”「KANMACHI(かんまち)」เราจะขอไปทาน “โซบะนวดมือ Teuchi Soba(手打ちそば) ” ที่เป็นอาหารขึ้นชื่อของชิราคาวาโกะกันก่อนเลย โดยเดินออกจากบัสเทอร์มินอลไปทางซ้ายมือ เพื่อเดินไปทางหมู่บ้าน เดินตรงไปตามถนนหลักของหมู่บ้านชิราคาวาโกะเลยค่ะ
เมื่อเดินมาซักพักเราก็จะได้เห็นบ้านโบราณทรงสามเหลี่ยมหลังคาฟางที่เรียกว่า “กัสโชซูคุริ” เป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้านแห่งนี้กับบ้าน「วาดะ」อยู่ทางซ้ายมือ『SHIRAKAWA-GO』
ซึ่ง “กัสโชซูคุริ” นี้จะเป็นภูมิปัญญาของคนในหมู่บ้านที่สร้างบ้านด้วยหลังคาฟางทรงสามเหลี่ยม โดย “กัสโช合掌” ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า “ไหว้” มาจากหลังคาทรงสามเหลี่ยมที่เหมือนกับการไหว้นั่นเอง
ย้อนอดีตไปเมื่อ 150 กว่าปีก่อน “บ้านวาดะ” ถูกสร้างขึ้นในช่วงท้ายยุคเอโดะ ซึ่งเป็นบ้านที่ยังคงถูกใช้เป็นที่พักอาศัยอยู่จนถึงปัจจุบัน คนทั่วไปสามารถเข้าชมภายในบ้านเพื่อสัมผัสถึงภูมิปัญญาและวิธีชีวิตของคนในหมู่บ้านนี้ได้ นอกจาก บ้านวาดะ นี้ก็ยังมีบ้านหลักๆ ของหมู่บ้านแห่งนี้อยู่คือ「บ้านคันดะ」และ「บ้านนางาเสะ」เป็นต้น
เพื่อนๆ สามารถอ่านรีวิวบ้าน “วาดะ” ที่เราได้รีวิวเอาไว้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิได้ที่นี่ คลิ๊กเลย!
เมื่อเดินไปตามทางถนนหลักเรื่อยๆ ก็จะเจอสามแยกใหญ่ หากเลี้ยวไปทางซ้ายมือ ก็จะมีบ้านสไตล์ “กัสโชซูคุริ” เรียงกันอยู่มากมาย อาจจะอ้อมเล็กน้อยแต่ไหนๆ ก็มาแล้วลองแวะถ่ายรูปดูซักหน่อยก็ดีนะคะ
หากพูดถึงฤดูใบไม้ร่วงของญี่ปุ่น หลายๆ ก็คงก็จะต้องนึกถึง “ใบไม้เปลี่ยนสี” ใช่ไหมคะ ซึ่งที่ชิราคาวาโกะนี้ สามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีได้ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ไปจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน นอกจากนี้ ในช่วงเดือนกันยายน ไปจนถึงต้นเดือนตุลาคมจะเป็นช่วงของ “ดอกดาวกระจาย” ที่เปรียบเสมือนเป็นซากุระในฤดูใบไม้ร่วงนั่นเอง จะได้ชมและถ่ายรูปดอกไม้ไปพร้อมๆ กับบ้านโบราณทรง “กัสโชซูคุริ” ได้อย่างสวยงามเลยค่ะ
ซึ่งระหว่างเดินเล่นอยู่ เราก็จะเห็นว่าแต่ละบ้านประดับหมวกร่มสาน “ซุเกะคาซะ” หรือ “วาราจิ”(รองเท้าสานโบราณ)ให้ได้บรรยากาศมากขึ้น
และเมื่อเลี้ยวซ้ายที่ถนนใหญ่แล้ว เดินไปจนสุดทางก็ให้เลี้ยวไปทางขวามือ
เดินไปซักพักก็จะเจอ “วัดมิโยเซนจิ”「Myozenji(明善寺)」อยู่ทางด้านซ้ายมือ
เป็นวัดที่มีประตูซากุระมงที่เป็นหอระฆัง หลังคาฟางตามแบบบ้านต่างๆ ในบริเวณนี้ ถูกสร้างขึ้นในปีพ.ศ.2291 เมื่อ 270 ปีที่ผ่านมา เพียงแค่เสียค่าเข้าชม 300 เยนก็สามารถเข้าชมภายในอาคารวัดสไตล์ “กัสโชซูคุริ” ได้พร้อมๆ กับวิวบ้านที่อยู่รอบๆ ได้อีกด้วย
การเดินไปสะพาน「Deai Bridge(であい橋)」นั้นจะต้องเดินเลยวัด “วัดมิโยเซนจิ”「Myozenji(明善寺)」ไปที่สามแยกและเดินไปทางขวามือ จากนั้นก็จะเจอสี่แยกเล็กๆ อยู่ระหว่างทางให้เดินตรงไป ด้านซ้ายมือคือ “โคเอมง” 『KOEMON』ที่เป็นที่พักชาวบ้านที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าพักค้างคืนได้ ซึ่งเพื่อนๆ สามารถพักในบ้านสไตล์ “กัสโชซูคุริ” ได้อีกด้วย
ถึงแม้ว่าเว็บไซต์ของที่พักแห่งนี้จะเป็นภาษาญี่ปุ่น และสามารถจองด้วยเอกสารภาษาอังกฤษจากการส่ง FAX เท่านั้น ซึ่งจะมีความยุ่งยากเล็กน้อย แต่รับรองว่าหากเพื่อนๆ ได้พักบ้านสไตล์ “กัสโชซูคุริ” แบบนี้เพื่อนจะได้รับประสบการณ์ดีๆ ไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ
เมื่อเดินตรงผ่านสี่แยกใหญ่ไปก็จะเจอสะพาน “เดะไอ”「Deai Bridge(であい橋)」ที่พาดผ่านแม่น้ำโชที่ไหลอยู่ในชิราคาวาโกะแห่งนี้
สะพาน “เดะไอ” เป็นสะพานที่ยาวกว่า 107m เดินๆ ไปสะพานก็จะไหวเล็กน้อย หวาดเสียวนิดหน่อย
สะพาน “เดะไอ” ที่พาดผ่านแม่น้ำโชที่กว้างใหญ่แห่งนี้ ก็เป็นวิวที่สวยงามน่าจดจำไม่แพ้ที่อื่นๆ เลยค่ะ ซึ่งเพื่อนๆ สามารถชมหิมะที่ขาวโพลนได้ในช่วงเดือนธันวาคม ไปจนถึงต้นเดือนมีนาคม สามารถชมต้นไม้ใบหญ้าผลิดอกออกผลสีสันสดใส ได้ในช่วงเดือนเมษายน ไปจนถึงเดือนมิถุนายน และ สามารถชมพื้นที่เขียวชะอุ่ม ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ได้ในช่วงเดือนกรกฏาคม ไปจนถึง เดือนกันยายน และสุดท้ายเพื่อนๆ สามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีสวยงามไม่ทั่วทั้งบริเวณได้ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน เพื่อเพลิดเพลินกับเสน่ห์ในแต่ละฤดูกาลของประเทศญี่ปุ่นได้อย่างเต็มที่
ซึ่งมื้อกลางวันในวันนี้ เราจะข้ามสะพานนี้ไป ร้านจะอยู่ทางซ้ายมือภายในบริเวณ「Gassho-zukuri Minkaen」กับร้านโซบะอาหารขึ้นชื่อของพื้นที่กับ “ร้านโซบะ โดโจ Dojo”
โดยบริเวณ “Gassho-zukuri Minkaen” แห่งนี้จะเป็นศูนย์รวมบ้านสไตล์ “กัสโชซูคุริ” บ้านกังหันน้ำ ศาลเจ้า หรือ วัด ฯลฯ เพื่อนๆ จะได้สัมผัสถึงวิถีชีวิตของคนที่นี่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นบริเวณที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไม่น้อยเลยทีเดียว
สามารถอ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิ๊กเลย!
Day2-2 ใกลางหมู่บ้านทิมะ『SHIRAKAWAGO』
และ “ร้านโซบะ โดโจ Dojo” เป็นร้านที่สร้างสไตล์บ้าน “กัสโชซูคุริ” หลังโต『SHIRAKAWA-GO』
ผ่านม่านเพื่อเข้าไปในร้านกันเลย
เดินทีร้านโซบะแห่งนี้เคยเป็นบ้านที่พักอาศัยทั่วไปมาก่อน เพราะฉะนั้นภายในร้านจะได้บรรยากาศที่อบอุ่นเป็นกันเองมากๆ ส่วนที่นั่งจะเป็นแบบนั่งบนพื้นเสื่อทาทามิญี่ปุ่น ทั้งที่นั่งแบบ 4 คน หรือ 6 คน ซึ่งด้านในสุดของร้านจะมีห้องที่มีที่นั่งรองรับลูกค้าที่มาเป็นกลุ่มใหญ่ประมาณ 20 คนเได้อีกด้วย
ซึ่งแป้งที่ใช้ในการนวดเส้นโซบะ ก็คือแป้งอันดับหนึ่งจากทางเหนือของญี่ปุ่นที่เกาะฮอกไกโด ซึ่งเป็นแป้งจากการบดหิน เมนูภายในร้านก็จะมีให้เลือกหลากหลายทั้ง “ซารุโซบะ”「ZARU SOBA(ざるそば)」(900 เยน) เมนูโซบะพร้อมมันเทศญี่ปุ่นยามะอิโมะ「TORORO SOBA(山かけそば)」(1000 เยน) และ โซบะเนื้อฮิดะกิวปรุงรสหวานเค็ม「HIDA BEEF SHIGURE SOBA(飛騨牛しぐれそば)」(1300 เยน)ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งภายในเมนูจะมีภาษาอังกฤษ และรูปภาพประกอบด้วย เพราะฉะนั้นไม่ลำบากเรื่องการสั่งอาหารแน่นอนค่ะ
และเมนูที่ ICHIGO-CHAN สั่งก็คือ “ยามะคาเคะโซบะ「TORORO SOBA(山かけそば)」(1000 เยน) เป็นโซบะรสชาติเข้มข้น พร้อมกับซอสมันเทศญี่ปุ่นนุ่มๆ เป็นอาหารแนวเพื่อสุขภาพที่ถูกปากคนไทยไม่น้อยทีเดียว
พนักงานร้านที่ ICHIGO-CHAN ถ่ายรูปด้วยบอกว่าเขาได้ย้ายจากในเมืองมาที่หมู่บ้านแห่งนี้ด้วย ด้วยความสวยงามของหมู่บ้าน ที่อุดมสมบูรณ์ และธรรมชาติมากมาย ทั้งอากาศที่ดี บรรยากาศที่เงียบสงบ ทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมไม่เฉพาะชาวต่างชาติเท่านั้น แต่คนญี่ปุ่นเองก็ให้ความสนใจ จนกลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คนญี่ปุ่นนิยมย้ายเข้ามาอยู่กันเลยทีเดียว
ตอนนี้ ICHIGO-CHAN ได้ทานโซบะไปจนเต็มอิ่ม
ครั้งหน้าเราจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวชม “คันมาจิ”「KANMACHI(かんまち)」สถานที่ไฮไลท์ พร้อมวิวที่สวยที่สุดในชิราคาวาโกะแห่งนี้เพื่อชมบ้าน “กัสโชซูคุริ” ที่เรียงติดกันสามหลัง จากนั้นชมวิวหมู่บ้านทั้งหมดจากจุดชมวิว “Tensyukaku View Point” ที่อยู่บนเขา และเดินเที่ยวชมดอกดาวกระจาย หรือ ดอกคอสมอสที่สวยงามในชิราคาวาโกะกันค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะ ♪
【ตารางการเดินทาง Day2-2 SHIRAKAWAGO】