เที่ยวด้วย Pass สุดคุ้ม
ของเราคือ รีวิวการท่องเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง
ติดตามรีวิวของแต่ละวันในทริป
พร้อมตารางการเดินทาง ค่าใช้จ่าย และ Pass ต่างๆ
Day1-1 เริ่มทริป! เดินทางจากกรุงเทพเข้าสู่โตเกียวจากสนามบินนาริตะ และเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองโตเกียว
TOKYO-HAKONE-GOTEMBA-KAWAGUCHIKO/FUJI-TOKYO
เมื่อช่วงฤดูใบไม้ร่วงได้ผ่านพ้นไป ก็จะเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวอย่างแท้จริง เป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่เพื่อนๆ จะได้สัมผัสกับประสบการณ์ต่างๆ ที่ไม่สามารถสัมผัสได้ในประเทศไทย ทั้งอากาศที่หนาวเย็น และบรรยากาศหิมะที่สวยงาม
แน่นอนว่าการท่องเที่ยวเมืองใหญ่ๆ ในประเทศญี่ปุ่นอย่าง โตเกียว โอซาก้า หรือ นาโกย่าที่มีการเพิ่มรอบบินตรงจากกรุงเทพมหานครมากมาย จะเป็นสถานที่ที่มีเสน่ห์ แต่หากเดินทางออกจากเมืองใหญ่ๆ ต่างๆ เหล่านี้ออกไปเล็กน้อย ก็จะทำให้เพื่อนๆ สามารถสัมผัสกับบรรยากาศธรรมชาติ อากาศที่สดชื่น และหิมะที่ไม่สามารถสัมผัสได้ในตัวเมือง อีกทั้งยังสามารถลิ้มลองอาหารประจำท้องถิ่นมากมาย
ครั้งนี้เราจะพาเพื่อนๆ เดินทางออกจากโตเกียวเพื่อท่องเที่ยวสุดคุ้มด้วยพาส「ฟูจิฮาโกเน่พาส」ในการท่องเที่ยวบริเวณ ฟูจิ・ฮาโกเน่ โดยแบ่งออกเป็น 16 ตอน
ซึ่งเราจะพาเพื่อนๆ ไปท่องเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์ในบริเวณฟูจิ・ฮาโกเน่ ทั้งนั่งเรือทัศนาจรที่ทะเลสาบอาชิเหมือนได้อยู่ในอนิเมะเรื่อง “วันพีช” หรือ สัมผัสธรรมชาติที่ “โอวากุดานิ” เท่านั้นไม่พอยังสามารถชมภูเขาไฟฟูจิได้จากชิราคาวาโกะอีกด้วย
ซึ่งการท่องเที่ยวในครั้งนี้จะเป็นการท่องเที่ยวสุดคุ้มด้วยพาสที่จำหน่ายโดยรถไฟฟ้าโอดะคิว กับพาส『ฟูจิฮาโกเน่พาส』
โดยพาส「ฟูจิฮาโกเน่พาส」นี้เราจะออกเดินทางจากโตเกียว・ชินจุกุ เพื่อท่องเที่ยวบริเวณรอบๆ ฟูจิ・ฮาโกเน่ด้วยพาสเพียง 1 ใบเท่านั้น ที่เป็นพาสเพื่อนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยเฉพาะให้ได้ท่องเที่ยวญี่ปุ่นอย่างคุ้มค่า เป็นไอเท็มในการท่องเที่ยวบริเวณรอบๆ ฟูจิ・ฮาโกเน่ที่ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว
ซึ่งราคาของพาส「ฟูจิฮาโกเน่พาส」หากออกจากชินจุกุจะอยู่ที่ 8,000 เยน และหากออกจาก โอดาวาระจะอยู่ที่ 5,650 เยน โดยในพาสจากชินจุกุจะประกอบไปด้วย ตั๋วเที่ยวเดียวระหว่างชินจุกุ-โอดาวาระ และตั๋วรถบัสด่วน(คาวากุจิโกะ-ชินจุกุบัสเทอร์มินอล)อยู่ด้วย
จำหน่ายอยู่ที่「Odakyu Tourist Information Center」ภายในสถานีชินจุกุ และสถานีโอดาวาระ นักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมไปถึงนักเรียนแลกเปลี่ยน หรือชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นก็สามารถซื้อได้
สามารถใช้นั่งยานพาหนะได้ดังนี้
【พื้นที่ ฮาโกน่】
1.รถไฟฮาโกเน่โทซัง 2.รถประจำทางสายฮาโกเน่โทซัง(เฉพาะพื้นที่ที่ระบุ) 3.ฮาโกเน่โทซังเคเบิ้ลคาร์ 4. กระเช้าลอยฟ้าสายฮาโกเน่ 5.เรือทัศนาจรชมทะเลสาบฮาโกเน่ 6.รถบัสประจำทางด่วนสายโอดะคิวฮาโกเน่ (เฉพาะพื้นที่ที่ระบุ) 7.รถบัส “คังโค ชิเซ็ตสึ-เมะกุริ” (รถบัสนำเที่ยว) 8.รถประจำทางสายโทไก รถรับส่งสีส้ม (พื้นที่ที่กำหนดไว้)
【พื้นที่ ฟูจิ】
9.รถไฟสายฟูจิคิว สถานีคาวากุจิโกะ-สถานีชิโมะโยชิดะ 10.รถประจำทางสายฟูจิคิว(พื้นที่ที่กำหนดไว้ในบริเวณภูเขาไฟฟูจิ)
สามารถนั่งทั้งหมดนี้ได้ไม่อั้นเป็นเวลา 3 วัน นอกจากนี้ยังมีส่วนลดสำหรับค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ มากกว่า 90 แห่งอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นพาสที่คุ้มมากๆ เลยทีเดียว
ยกตัวอย่างเช่น ออกจากชินจุกุ-ฮาโกเน่ ยุโมโตะ-โกระ-ภูเขาโซอุนซัง-โอวากุดานิ-โทเก็นได จากนั้นนั่งเรือทัศนาจรชมทะเลสาบฮาโกเน่ไปยัง ท่าเรือโมโตะ-ฮาโกเน่โก จะเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด 4,420 เยน (ไปกลับ 8,840 เยน) เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้ตั๋วได้อย่างคุ้มค่าแล้ว แต่พาสนี้ยังรวมค่าโดยสารรถบัสในบริเวณโกเมทบะ และคาวากุจิโกะอีกด้วย คุ้มสุดๆ ไปเลยค่ะ
「ฟูจิฮาโกเน่พาส」นี้จะคลอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ภายในฟูจิ・ฮาโกเน่ ทั้ง「รถไฟฮาโกเน่โทซัง」ที่มีวิวใบไม้เปลี่ยนสี และดอกไฮเดรนเยียที่สวยงาม หรือ「โอวากุดานิ」เพื่อสัมผัสธรรมชาติอย่างเต็มที่ และ นั่ง「เรือทัศนาจร」ชมทะเลสาบอาชิชื่อดัง ในบริเวณฮาโกเน่ นอกจากนี้ยังสามารถเที่ยวชมเอ้าท์เลตที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น「โกเทมบะเอ้าท์เลต」หรือ「yeti」ที่สามารถเพลิดเพลินกับหิมะได้ยาวนานตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนเมษายน ในพื้นที่โกเทมบะ เท่านั้นไม่พอยังสามารถท่องเที่ยว「หมู่บ้านน้ำใส โอชิโนะฮักไก」หรือ「คาวากุจิโกะ」และสถานที่ชมวิวชื่อดังของญี่ปุ่นที่「สวนอาราคุระยามะเซ็นเก็น」ในพื้นที่บริเวณฟูจิ เรียกได้ว่าเพียงแค่มี「ฟูจิฮาโกเน่พาส」เพียงใบเดียวก็สามารถท่องเที่ยวได้อย่างสบายใจไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายเลยค่ะ
ครั้งนี้เราจะออกเดินทางจากกรุงเทพจากท่าอากาศยานดอนเมือง โดยเที่ยวบินที่เดินทางออกจากท่าอากาศยานดอนเมืองมีดังนี้
สายการบินแอร์เอเชีย
ซัปโปโร ทุกวันวันละ 1 เที่ยว
นาริตะ ทุกวัน วันละ 2 เที่ยว
นาโกย่า ทุกวันวันละ 1 เที่ยว
คันไซ ทุกวัน วันละ 2 เที่ยว
สายการบิน Scoot (นกสกู้ต)
นาริตะ ทุกวัน วันละ 2 เที่ยว
คันไซ ทุกวัน วันละ 1 เที่ยว
รวมทั้งหมดจะบินวันละ 9 เที่ยว เท่านั้นไม่พอตั้งแต่วันที่ 7 เดือนธันวาคมเป็นต้นมา สายการบินไลอ้อนแอร์ ได้เปิดรอบบินใหม่เริ่มต้นจาก นาริตะ ตามด้วย คันไซ นาโกย่า และฟูกุโอกะอีกเรื่อยๆ เรียกได้ว่ามีรอบบินมากมายรองรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่
ซึ่งครั้งนี้เราจะออกเดินทางจากกรุงเทพด้วย ท่าอากาศยานดอนเมือง โดยสาเหตุที่เราเลือกเดินทางจากท่าอากาศยานดอนเมืองก็เพราะราคานั่นเอง เนื่องจากเราได้ตั๋วลดราคาของสายการบิน NokScoot ที่ราคาเพียงเที่ยวละ 4000 บาทเท่านั้น เมื่อรวมภาษีแล้วทั้งหมดเป็น 12000 บาทก็สามารถเดินทางไปกลับประเทศญี่ปุ่นได้เลย
ท่าอากาศยานดอนเมืองที่เป็นประตูหน้าบานของกรุงเทพมหานครก่อนท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ได้กลายมาเป็นสนามบินของสายการบินราคาประหยัดอย่าง สายการบินแอร์เอเชีย สายการบิน NokScoot หรือสายการบินไลอ้อนแอร์ บรรยากาศกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากเคยปิดตัวลงไปเมื่อหลายปีก่อน เพราะฉะนั้นแถวที่เคาน์เตอร์เช็คอินก็ยาวเหยียด และสายการบินส่วนใหญ่จะปิดเคาน์เตอร์เช็คอินก่อนหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เพราะฉะนั้นแนะนำว่าให้เผื่อเวลาไปเยอะๆ เลยนะคะ
โดยครั้งนี้เราจะบินด้วยสายการบิน NokScoot โดยเที่ยวบินจากกรุงเทพ ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ไปยังท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะจะมีอยู่วันละ 2 เที่ยวบินคือ TR868 และ XW102 ซึ่งทั้งสองเที่ยวบินจะเป็นเที่ยวบินที่ออกจากกรุงเทพรอบดึก และถึงท่าอากาศยานนาริตะในช่วงเช้านั่นเอง
เมื่อเช็คอินเรียบร้อยแล้ว ก็เช็คกระเป๋า และผ่านเข้าตม. เพื่อไปที่เกทกันเลยค่ะ ซึ่งภายในท่าอากาศยานดอนเมืองที่มีสายการบินมากมายไม่แพ้ท่าอากาศบานสุวรรณภูมินั้นก็มีร้านค้าปลอดภาษี หรือร้านอาหารต่างๆ มากมาย อย่างเช่น S&P, สตาร์บัค, แมคโดนัล หรือ ซัปเวย์ ต่างๆ แต่ส่วนใหญ่จะปิดให้บริการตั้งแต่ 5 ทุ่ม หรือเที่ยงคืน ซึ่ง แมคโดนัล จะเป็นร้านที่ปิดช้าที่สุดค่ะ
ก่อนเวลาบิน 40 นาที ก็จะเริ่มการ Boarding ที่เกท ซึ่งสายการบิน NokScoot จะมีเครื่องบินอยู่ 3 แบบก็คือ B777・B787 และ A320 ซึ่งเครื่องบินที่ใช้บินไปยังญี่ปุ่นจะเป็นเครื่องใหญ่ลำใหม่ B777 หรือ B787
เราจะนั่งไปท่าอากาศยานนาริตะเป็นเวลา ประมาณ 5 ชั่วโมงค่ะ
ซึ่งภายในเครื่อง B777 นี้จะมีที่นั่ง Economy อยู่ 391 ที่นั่ง และมีที่นั่งแบบ Bussiness ที่เรียกว่า ScootBiz อยู่ 24 ที่นั่ง รวมเป็น 415 ที่นั่ง ถึงแม้ว่าที่นั่งในแต่ละที่จะไม่มีหน้าจอส่วนตัว หรือปลั๊กไฟให้เสียบชาร์ต แต่ขนาดที่นั่งก็กว้างสามารถนั่งได้แบบสบายๆ ไม่แพ้สายการบินอื่นๆ เลยทีเดียว
ซึ่งสายการบิน NokScoot นี้จะมีเครื่องดื่ม และอาหารให้บริการ ถึงแม้ว่าอาหารจะถูกเสิร์ฟหลังจากขึ้นบินทันที แต่ก็เป็นเวลาตี 2 เพราะฉะนั้นเพื่อนๆ สามารถขอทางพนักงานต้อนรับให้เสิร์ฟได้ตามเวลาที่ต้องการได้จนถึง 90 นาทีก่อนลงจอดค่ะ
ซึ่งเมนูอาหารที่เลือกไว้อาจมีโอกาศหมดก่อนได้ เพราะฉะนั้นเลือกเมนูเผื่อเอาไว้ก็ดีนะคะ
เมื่อขึ้นไปบนเครื่องแล้ว ก็จะได้รับใบตรวจคนเข้าเมืองและใบศุลกากร ซึ่งจำเป็นจะต้องเขียนสองใบนี้ให้ดีๆ จะได้ไม่มีปัญหาตอนเข้าประเทศค่ะ ถ้าเขียนที่อยู่มั่วๆ ก็อาจจะได้เปิดเช็คสัมภาระกันยกใหญ่เลยค่ะ
เพราะฉะนั้นตั้งใจเขียนข้อมูลให้ครบและเขียนให้เป็นระเบียบนะคะ ในส่วนของเบอร์โทรติดต่อกลับ ถ้าเป็นเบอร์ไทยก็ตัด 0 ที่อยู่ด้านหน้าออกและใส่ +66 แทน เช่น เบอร์ 081-234-5678 ให้เขียนเป็น +66-1-234-5678
ออกจากกรุงเทพมหานครมาเป็นเวลา ประมาณ 6 ชั่วโมง ตอนนี้เราก็ได้เดินทางมาถึงท่าอากาศยานนาริตะเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งตอนขาออกเที่ยวบินดีเลย์ไปประมาณ 1 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นจึงถึงช้าไป 45 นาทีค่ะ
สายการบิน NokScoot นี้จะถึงเทอร์มินอลที่ 2 ในบรรดา 3 เทอร์มินอลภายในสนามบินนาริตะ ที่ประตูทางออกผู้โดยสารขาเข้า「B」เพราะฉะนั้นถ้านัดใครให้มารับที่สนามบินก็อย่าลืมบอกเทอร์มินอลเอาไว้ด้วยนะคะ
บริเวณหน้าประตูทางออกผู้โดยสารขาเข้าจะมีเคาน์เตอร์
- รถไฟ JR
- รถไฟเคเซ
- แอร์พอร์ตลีมูซีนบัส
จำหน่ายตั๋วที่สามารถใช้เดินทางไปในเมืองโตเกียว หรือพื้นที่ต่างๆ
สำหรับรถไฟ JR นั้นสามารถเดินทางไปยังตัวเมืองโตเกียวอย่าง โตเกียว・ชินางาวะ・ชินจุกุ・โยโกฮามะ
ส่วนรถไฟเคเซ จะสามารถเดินทางไปยังในเมืองโตเกียวทางฝั่งตะวันออก อย่าง อุเอโนะ・อาซากุสะ
และรถบัสนั้นสามารถเดินทางไปยังโรงแรมต่างๆ ภายในโตเกียวได้โดยตรงนั่นเอง
เพื่อนๆ สามารถเลือกเดินทางได้ตามงบประมาณ และสถานที่ที่ต้องการไปได้เลย ซึ่งราคาของรถไฟด่วนพิเศษสกายไลเนอร์ จะอยู่ที่ 2470 เยน แต่เพื่อนๆ สามารถซื้อเซ็ตตั๋วรถไฟด่วนพิเศษสกายไลเนอร์ +「Tokyo Subway 24 Hours Ticket」(ราคาปกติ 800 เยน)ที่สามารถใช้นั่งรถไฟโตเกียวเมโทร และรถไฟใต้ดินโทเอทุกสายได้ไม่อั้นเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ในราคาเพียง 2800 เยนเท่านั้น สามารถลดค่าใช้จ่ายไปได้ 670 เยนเลยทีเดียว สามารถซื้อได้ที่เคาน์เตอร์รถไฟเคเซที่อยู่หน้าประตูทางออกผู้โดยสารขาเข้าได้เลย(รับเฉพาะเงินสด)
ซึ่งบริเวณประตูทางออกผู้โดยสารขาเข้านั้นจะมีทั้งเคาน์เตอร์ส่งสัมภาระไปทั่วประเทศ, ตู้ ATM ที่สามารถกดเงินต่างประเทศ, เคาน์เตอร์เช่า Wifi เร้าเตอร์, เครื่องจำหน่ายซิมมือถืออัตโนมัติ หรือ STARBUCKS เป็นต้น
สามารถเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกจากสนามบินนาริตะได้ที่นี่เลย
เมื่อออกจากประตูทางออกผู้โดยสารขาเข้าแล้ว ก็จะเจอบันไดเลื่อนเพื่อลงไปสถานีรถไฟที่อยู่ใต้ดิน อยู่ทางซ้ายมือ เมื่อลงบันไดเลื่อนมาแล้ว ก็จะเจอสถานี Narita Airport Terminal 2 Station
ของรถไฟ JR และ รถไฟเคเซ อยู่ทางขวามือ ซึ่งบริเวณทางเข้าสถานีจะมีตู้ ATM ของ「SEVEN BANK」อยู่ 2 เครื่อง ซึ่งเครื่องนี้สามารถกดเงินจากประเทศไทยได้ อีกทั้งยังรองรับภาษาไทยอีกด้วย เพราะฉะนั้นสามารถกดเงินได้ไม่ยากเข้าใจง่ายมากๆ เลยทีเดียว
ซึ่งการเดินทางจากสนามบินนาริตะ ไปยังตัวเมืองโตเกียวนั้น สามารถเดินทางได้ด้วยการเดินทาง 3 วิธีคือ
- ลีมูซีนบัส
- JR Narita Express
- รถไฟเคเซ สกายไลเนอร์
สำหรับ ICHIGO-CHAN ได้เลือกเดินทางด้วยลีมูซีนบัสค่ะ ในช่วงหลายปีนี้ได้มีรถบัสราคาประหยัดที่เชื่อมระหว่างสนามบินนาริตะและในตัวเมืองอยู่หลายบริษัท ซึ่งการเดินทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติก็คือ『THE ACCESS NARITA』
เดิมทีการเดินทางระหว่างสนามบินนาริตะและในตัวเมืองจะอยู่ที่ประมาณ 2500-3000 เยน แต่ THE ACCESS NARITA สามารถเดินทางได้เพียง 1000 เยนเท่านั้น โดยจะวิ่งเชื่อมระหว่าง สนามบินโตเกียว และสถานีโตเกียว หรือ บริเวณย่านกินซ่า มีรอบวิ่งทุกๆ 20 นาที ได้รับความนิยมทั้งจากคนญี่ปุ่น และชาวต่างชาติไม่น้อยเลยทีเดียว
ซึ่งหากจะใช้บริการ THE ACCESS NARITA จากเทอร์มินอลที่ 2 ก็ให้เดินออกจากเทอร์มินอลไปทางขวามือ รถบัสจะออกตัวจากป้ายหมายเลข 2 ค่ะ
THE ACCESS NARITA ที่มีรอบวิ่งทุกๆ 20 นาทีนี้ สามารถใช้บริการได้โดยไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋วล่วงหน้า สามารถออกจากเทอร์มินอลที่ 2 สนามบินนาริตะ และไปที่ป้ายรถบัสหมายเลข 2 โดยตรง จากนั้นก็ชำระเงิน 1000 เยนตอนขึ้นรถบัส ก็สามารถขึ้นไปนั่งที่รถบัสได้เลย เพราะฉะนั้นจึงสามารถใช้บริการได้โดยไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้า ในกรณีที่ใช้บริการจากเทอร์มินอลที่ 2 ส่วนใหญ่จะสามารถนั่งได้แน่นอน และส่วนใหญ่จะไม่มีกรณีที่ที่นั่งเต็มเลยค่ะ
รถบัสจะใช้เวลาเดินทางไปยังสถานีโตเกียว ประตูยาเอสุ (TOKYO STATION YAESU GUCHI東京駅八重洲口) โดยใช้เวลาประมาณ 70-90 นาที ที่นั่งภายในรถบัสจะเป็นที่นั่งที่สามารถเลือกนั่งได้ตามอิสระแบบ Non-Reserved Seat เพราะฉะนั้นหากเป็นไปได้แนะนำให้นั่งทางฝั่งขวามือค่ะ เพราะว่าระหว่างทางเพื่อนๆ จะได้ชมวิว「โตเกียวสกายทรี」แลนด์มาร์กขึ้นชื่อของโตเกียว และตึกสูงในเมืองโตเกียวมากมาย
(ส่วนทางฝั่งซ้ายมือจะเป็นโตเกียวดีสนีย์แลนด์)
ซึ่งรถบัสที่ ICHIGO-CHAN นั่งใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ตอนนี้ก็ได้เดินทางมาถึง สถานีโตเกียว ประตูยาเอสุ (TOKYO STATION YAESU GUCHI東京駅八重洲口) เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งบริเวณรอบๆ สถานีโตเกียว ประตูยาเอสุ นี้จะเต็มไปด้วยร้านอาหารอร่อยๆ ต่างๆ มากมาย
โดยภายในบริเวณย่านร้านอาหาร「TOKYO STATION 1 BANGAI」ที่เชื่อมต่อกับสถานีโตเกียวนี้จะมีร้านขึ้นชื่อของญี่ปุ่นอยู่มากมาย
ในตอนต่อไปเราจะพาเพื่อนๆ ไปทานอาหารกลางวันที่ย่านร้านอาหาร「TOKYO STATION 1 BANGAI」และเที่ยวชมย่าน Shinjuku Nishiguchi Area บริเวณที่พักของเราในคืนนี้กันค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะ♪
【ตารางการเดินทาง Day1-1 DON MUEANG AIRPORT/NARITA AIRPORT】