เที่ยวด้วย Pass สุดคุ้ม
ของเราคือ ริวีวการท่องเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง
ติดตามรีวิวของแต่ละวันในทริป
พร้อมตารางการเดินทาง ค่าใช้จ่าย และ Pass ต่างๆ
Day1-1 เริ่มทริป! เดินทางจากสนามบินนาริตะ เข้าสู่ตัวเมืองโตเกียว
TOKYO-FUJI-MISHIMA-SHUZENJI-SHIMIZU-MIHONOMATSUBARA-HAMAMATSU-NAGOYA
ในช่วงเดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนพฤศจิกายนจะเป็นช่วง “ฤดูใบไม้ร่วง” ของประเทศญี่ปุ่นพอดี เป็นฤดูแห่งการท่องเที่ยวทั้งอากาศที่สบายๆ ไม่หนาวจนเกินไป พร้อมบรรยากาศธรรมชาติโดยรอบที่สวยงาม นอกจากนี้อาหารประจำฤดูใบไม้ร่วงก็เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่ไม่ควรพลาดเช่นกัน ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดในการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้ก็คือ “จังหวัดชิซูโอกะ” ในช่วงฤดูร้อนที่ภูเขาฟูจิไม่มีหิมะ ก็เริ่มมีส่วนหิมะที่ขาวโพลน เรียกได้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่เพื่อนๆ สามารถชมความสวยงามของวิวภูเขาไฟได้แบบสามชั้นก็คือ ถ้าโชคดีบนเขาที่มีหิมะปกคลุม ช่วงกลางที่เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี และเชิงเขาที่เขียวชอุ่ม เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของฤดูนี้นั่นเอง
ซึ่งเสน่ห์ของฤดูใบไม้ร่วงในจังหวัดชิซูโอกะนั้นไม่ได้มีเพียงแต่ภูเขาไฟฟูจิเท่านั้น เพราะว่าบริเวณนี้ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอีกมากมายทั้งโชเกียวโตทางตะวันตกของอิซุที่นิชิอิซุ แหล่งผลิตวาซาบิชื่อดัง・Shuzenji Onsen , วิว มิโฮะ โนะ มัตสึบาระ ที่เป็นทางเรียบต้นสนยาวกว่า 7km และที่ “ฮามามัตสึ” ที่สามารถเพลิดเพลินกับเมนู “อูนางิ” หรือข้าวหน้าปลาไหลได้อย่างเต็มที่
โดยทริปในครั้งนี้เราจะท่องเที่ยว “จังหวัดชิซูโอกะ” เป็นศูนย์กลาง ในเส้นทาง โตเกียว-โกเท็มบะ-ทะเลสาบคาวากุจิ(คาวากุจิโกะ)- มิชิมะ – Shuzenji Onsen – (เรือเฟอร์รี่ The Suruga Bay Ferry) – มิโฮะ โนะ มัตสึบาระ- ชิมิสึ – ฮามามัตสึ-นาโกย่า เป็นเวลา 5 วัน 3 คืนค่ะ
ซึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการท่องเที่ยว “ชิซูโอกะ” นั่นก็คือ พาสที่จำหน่ายโดยบริษัทรถไฟญี่ปุ่นตอนกลาง Central Japan Railway Company หรือ JR TOKAI กับพาสสุดคุ้ม『Mt.Fuji-Shizuoka Area Tourist Pass mini』
พาสที่สามารถใช้นั่งเส้นทางระหว่าง อาตามิ-โทโยฮาชิ(Tokaido Main Line), นุมะซุ-มัตสึดะ(Gotemba Line)หรือ ฟูจิ-ชิโมเบะออนเซ็น(Minobu Line)รวมการนั่งรถไฟแบบด่วนพิเศษได้ไม่อั้น(ยกเว้นรถไฟแบบนอน)นอกจากนี้ยังสามารถใช้นั่งยานพาหนะอื่นๆ เช่น รถไฟ Izuhakone Railway(ทุกสายของสายซุนซึ Sunzu Line)รถบัสเพื่อใช้ท่องเที่ยว โกเทมบะ พรีเมียม เอ้าท์เล็ตส์ขนาดใหญ่ และ ทะเลสาบคาวากุจิ หรือ เรือเฟอร์รี่「The Suruga Bay Ferry」เพื่อนั่งเรือชมภูเขาไฟฟูจิจากทะเลได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นพาสสุดคุ้มที่ให้เพื่อนๆ ได้ท่องเที่ยวได้อย่างเต็มที่
「Mt.Fuji-Shizuoka Area Tourist Pass mini」มีอายุ 3 วัน ราคาเพียง 4500 เยนเท่านั้น แค่เพียงราคาตั๋วรถบัสไปกลับระหว่างโกเท็มบะ และ คาวากุจิโกะแบบปกติอยู่ที่ 3020 เยนและเรือเฟอร์รี่ The Suruga Bay Ferry(ราคาปกติ 2100 เยน)รวม 2 อย่าง ราคารวมก็อยู่ที่ 5300 เยน จะเห็นได้ว่าไม่จำเป็นต้องใช้นั่งรถไฟใดๆ ก็คุ้มเกินทุน และในบางกรณีสามารถท่องเที่ยวได้ในมูลค่าที่มากกว่า 2-3 เท่าเลยทีเดียว ครั้งนี้เราจะใช้「Mt.Fuji-Shizuoka Area Tourist Pass mini」ในการท่องเที่ยว “ชิซูโอกะ” ตั้งแต่ตะวันออกไปจนถึงตะวันตกให้เต็มที่เลยค่ะ
ถึงแม้ว่า「Mt.Fuji-Shizuoka Area Tourist Pass mini」จะเป็นพาสที่จำหน่ายโดยบริษัทรถไฟญี่ปุ่นตอนกลาง Central Japan Railway Company หรือ JR TOKAI แต่พาสนี้สามารถใช้นั่งยานพาหนะต่างๆ ภายในพื้นที่ได้อย่างเต็มที่ นอกจากเส้นทาง JR ในพื้นที่แล้ว ยังสามารถใช้นั่งรถบัสในพื้นที่ตามช่วงระหว่างโกเท็มบะ-ทะเลสาบคาวากุจิ หรือ ชิมิสึ -มิโฮะโนะมัตสึบาระ เท่านั้นไม่พอยังสามารถนั่งเรือเฟอร์รี่ The Suruga Bay Ferry เพื่อนั่งเรือชมภูเขาไฟฟูจิในเส้นทางระหว่างอ่าวโทอิ ในเมืองอิสึตะวันตก กับ อ่าวชิมิสึ ได้ไม่อั้น
นอกจากจะได้ท่องเที่ยวอย่างคุ้มค่าแล้ว ยังช่วยให้ประหยัดเวลา และลดขั้นตอนในการซื้อตั๋วต่างๆ ในการขึ้นยานพาหนะในแต่ละครั้งอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นไอเท็มที่ขาดไม่ได้ในการท่องเที่ยวเลยทีเดียว ซึ่งวิธีซื้อพาสสุดคุ้ม「Mt.Fuji-Shizuoka Area Tourist Pass mini」นี้สามารถซื้อได้ 2 วิธี ในกรณีที่ต้องการซื้อล่วงหน้า สามารถซื้อได้ที่ตัวแทนจำหน่ายก่อนออกเดินทางจากประเทศไทยตามลิงค์ด้านล่าง『Store Information』
เมื่อทำการซื้อแล้วก็จะได้รับตั๋วคูปอง สามารถนำตั๋วคูปองนี้มาแลกรับพาสตัวจริงได้ที่สถานีรถไฟของ JR TOKAI หรือสำนักงานของ JR TOKAI TOUR ได้เลย นอกจากนี้สามารถซื้อพาสสุดคุ้ม「Mt.Fuji-Shizuoka Area Tourist Pass mini」ได้ที่ญี่ปุ่นเช่นกัน
สามารถติดต่อแลกรับตั๋วจริง หรือติดต่อซื้อพาสได้ที่สำนักงาน หรือตัวแทนจำหน่ายได้ตามลิงค์ด้านล่าง 『Exchange and sales places』
ซึ่งทริปในครั้งนี้เราจะเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นจากกรุงเทพมหานครไปสู่ท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะที่โตเกียว และออกจากประเทศญี่ปุ่นจากท่าอากาศยานนานาชาติชูบุเซ็นแทรร์ที่นาโกย่า ซึ่งสายการบินที่มีรอบบินทั้ง กรุงเทพ-นาริตะ และ กรุงเทพ-นาโกย่า นั้นเคยมีเพียง 2 สายการบินคือ การบินไทย และสายการบินญี่ปุ่นเท่านั้น จนถึงวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ.2561 แต่เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ.2561 สายการบินแอร์เอเชีย X ได้เพิ่มรอบบินที่นาโกย่าเพิ่ม เพื่อเพิ่มโอกาสในการท่องเที่ยวญี่ปุ่นมากขึ้น
ครั้งนี้ ICHIGO-CHAN เลือกบินรอบดึกในตอนกลางคืน และถึงนาริตะในตอนเช้า จึงเลือกเป็นสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG642
เที่ยวบินรอบดึกอย่าง เที่ยวบินไป ญี่ปุ่น หรือ เกาหลี จะเช็คอินจากช่อง C ซึ่งในช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนพลุกพล่านมากที่สุดในรอบวัน เพราะฉะนั้นหากผ่านขั้นตอนเช็คอินแล้วก็รีบไปเช็คกระเป๋า และผ่านเข้าตรวจคนเข้าเมืองเลย จะได้มีเวลาช้อปปิ้งสินค้าปลอดภาษีภายในสนามบินต่อได้อย่างเต็มที่
สายการบิน TG642 เป็นเครื่องบินขนาดกลางรุ่น A330 ซึ่งที่นั่งภายในเครื่องจะแบ่งออกเป็น 2-4-2 แต่ละที่นั่งจะมีหน้าจอดูหนังฟังเพลง นอกจากนี้ยังมีที่เสียบ USB ให้ได้เสียบชารต์มือถือ ฯลฯ อีกด้วย จะได้เตรียมความพร้อมทั้งแบตมือถือหรืออุกรณ์ต่างๆ ให้พร้อมตั้งแต่ในเครื่องเลยค่ะ ซึ่งอาหารจะถูกเสริฟ์หนึ่งครั้งก่อนถึงสนามบินนาริตะ 1 ชั่วโมงครึ่ง อาหารเช้าก็มีให้เลือกทั้งอาหารสไตล์ฝรั่ง อย่างเช่นไข่ออมเล็ต และอาหารญี่ปุ่นอย่างเช่น อุดง หรือข้าวต้ม ส่วนวันนี้ ICHIGO-CHAN เลือกเป็นอาหารญี่ปุ่นกับเมนูอุดงผัดกุ้ง เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศกันหน่อย
ใช้เวลาเดินทางมาเป็นเวลา 5 ชั่วโมงครึ่ง เราก็ได้มาถึงนาริตะในวันฟ้าสว่างในฤดูใบไม้ร่วงกันแล้ว
สนามบินนาริตะนั้นจะมีเทอร์มินอลอยู่ทั้งหมด 3 อัน ตั้งแต่ตึกที่ 1 ถึง 3 ซึ่งสายการบินไทยจะลงจอดที่เทอร์มินอลที่ 1
ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาลงจอดของทั้งสายการบินจากกรุงเทพ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือทางฝั่งยุโรปอยู่หลายเที่ยวบิน เพราะฉะนั้นที่สนามบินก็จะคึกคักเป็นพิเศษเลยแต่…….สนามบินนาริตะได้เพิ่มช่องตรวจคนเข้าเมืองเพิ่มมากขึ้น ทำให้ทุกๆ อย่างเป็นไปได้อย่างราบรื่น สามารถผ่านออกมาจากประตูทางออกผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศได้ใช้เวลาไปเพียงไม่ถึง 1 ชั่วโมงเท่านั้น ตั้งแต่เครื่องลงจอด
สนามบินนาริตะมีตึกเทอร์มินอลอยู่ถึง 3 ตึกทำให้มีผู้ที่มาใช้บริการที่นี่เป็นจำนวนมากที่สุด ซึ่งตึกเทอร์มินอลที่ 1 South Wing จะมีทั้งสายการบิน ANA, United Airlines หรือ Singapore Air ที่อยู่ในเครือ Star Alliance ด้านหน้าประตูทางออกขาเข้าประเทศจะมีเคาเตอร์ที่จำหน่ายตั๋วอยู่หลายแบบเช่น ตั๋วรถบัสเพื่อเดินทางไปยัง ในเมืองโตเกียว โยโกฮาม่า ดิสนีย์แลนด์ และเคาเตอร์รถไฟใต้ดินของสองบริษัทใหญ่อย่าง JR และ KEISEI แน่นอนว่าที่เคาเตอร์เหล่านี้สามารถชำระเงินด้วยบัตรเครดิตอย่าง VISA・Master・JCB ได้ นอกจากนี้ยังมีส่วนลดพิเศษลีมูซีนบัสให้กับลูกค้าที่ใช้บัตร JCB จากประเทศไทยอยู่ด้วย(ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา)การเดินทางจากสนามบินนาริตะไปในเมืองโตเกียวนั้นสามารถเดินทางด้วยบริษัทรถไฟหลัก ๆ อย่าง JR หรือ KEISEI และรถบัส
-JR Narita Express-
เดินทางจากสนามบินนาริตะไป สถานีโตเกียว Tokyo 53 นาที・สถานีชินจุกุ Shinjuku 82 นาที・สถานีโยโกฮาม่า Yokohama 88 นาที ตั๋วขาเดียวราคาประมาณ 3000-4000 เยน
-KEISEI Skyliner-
เดินทางจากสนามบินนาริตะไป สถานีนิปโปริ Nippori 36 นาที・สถานีอุเอโนะ Ueno 40นาที ตั๋วขาเดียวราคาประมาณ 2400 เยน
-ลีมูซีนบัส-
เดินทางจากสนามบินนาริตะไป สถานีโตเกียว Tokyo 60-80 นาที ตั๋วขาเดียวราคาประมาณ 1000-3500 เยน(ราคาขึ้นอยู่กับบริษัท・ช่วงเวลา・สถานที่ปลายทาง)
แต่ละแบบก็จะมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งในครั้งนี้ ICHIGO-CHAN จะยึดเรื่องเวลา และไปในเมืองโตเกียวได้โดยไม่ต้องต่อรถไฟเป็นหลัก ครั้งนี้จึงเลือกใช้ JR Narita Express ค่ะ
สำหรับเพื่อน ๆ ที่แลกเงินเยนไว้เรียบร้อยแล้วก็ไปเที่ยวได้แบบสบาย ๆ เลย ส่วนเพื่อน ๆ ที่ยังไม่ได้แลกเงินหรือคิดว่าแลกเงินมาไม่พอก็ไม่ต้องกังวลไปค่ะ ที่สนามบินนาริตะมีตู้ ATM ที่สามารถกดเงินเยนจากบัญชีต่างประเทศได้ค่ะ
เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นจะมีร้านที่ให้บริการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตไม่มากเท่าประเทศไทย โดยเฉพาะร้านขายกล้อง กระเป๋าแบรนด์เนมมือสอง ยิ่งไม่ค่อยมีให้บริการบัตรเครดิต ส่วนตู้ ATM ของญี่ปุ่นส่วนมากก็ไม่สามารถกดบัตรจากต่างประเทศได้ ดังนั้นกดเงินจากที่สนามบินนาริตะไว้เลยน่าจะปลอดภัยและสะดวกที่สุด ซึ่งภายในสนามบินนาริตะเองก็มีตู้ ATM อยู่หลายตู้ แต่ตู้ ATM ที่เราคิดว่าน่าจะสะดวกที่สุดนั้น คือ“SEVEN BANK ATM” ค่ะ ต้องเดินออกจากประตูทางออกผู้โดยสารขาเข้าประเทศไปทางซ้าย และเดินตรงไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอตู้เอทีเอ็มธนาคารเซเว่นอยู่ทางซ้ายมือเลย มีหลายเครื่องด้วย ส่วนเรทค่าเงินที่กดจากตู้ ATM ของเซเว่นนั้นก็ไม่ค่อยต่างจาก Super Rich และอาจจะได้ค่าเงินที่ดีกว่าแลกที่ธนาคารที่ไทยด้วยค่ะ
อ่านข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างเลย
ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการจัดการกับเงินตราต่างประเทศในประเทศญี่ปุ่น
สถานีของสนามบินนาริตะนั้น ต้องเดินออกจากประตูทางออกผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ และลงบันไดเลื่อนที่อยู่ด้านซ้ายมือทันที และเดินไปตามทางเรื่อย ๆ ก็จะเจอเลย เมื่อเดินมาถึงทางเดินก็จะเจอจุดจำหน่ายตั๋วและช่องตรวจตั๋วของ JR อยู่ทางขวามือ และ KEISEI อยู่ทางซ้ายมือ
สำหรับ JR Narita Express ที่สามารเดินทางไป โตเกียว TOKYO・โยโกฮาม่า YOKOHAMA・ชินจุกุ SHINJUKU จะวิ่งทุก 30 นาที
ส่วน KEISEI Skyliner ที่ไปอุเอโนะ UENO・นิปโปริ NIPPORI จะวิ่งทุก 20-40 นาที เพราะฉะนั้นเพื่อนๆ สามารถเลือกนั่งได้ตาม สถานที่ปลายทาง หรือ ราคาตามความชอบของแต่ละคน สามารถซื้อตั๋วได้จากเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ
แต่ทว่าเครื่องจะจำกัดจำนวนการซื้อตั๋วจ่อครั้งอยู่ โดยเฉพาะหากเพื่อน ๆ ต้องการซื้อตั๋วจำนวน 4 คนขึ้นไปก็อยากจะแนะนำให้ไปซื้อตั๋วที่เคาเตอร์จำหน่ายตั๋วได้เลย สามารถชำระเงินได้ด้วยบัตรเครดิตทั่วไปทั้งที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วและช่องตรวจตั๋วอัตโนมัติค่ะ
เมื่อซื้อตั๋วเรียบร้อยก็เข้าไปข้างในเลย ลงบันไดเลื่อนไปก็จะเจอรถไฟด่วนพิเศษ Narita Express คันสีขาวแดงจอดอยู่ด้านขวามือเลย
『Narita Express』จะมีพื้นที่สำหรับเก็บกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ที่สามารถล๊อคได้ สะดวกและไม่ต้องกังวลว่าของจะหายเลยค่ะ
ที่นั่งแบบ Reclining Seat ที่มีปลั๊กไฟอยู่ในแต่ละที่นั่ง ให้ผู้โดยสารสามารถชาร์ตแบตมือถือหรือโน๊ตบุ๊คได้เลย และยิ่งไปกว่านั้น เราสามารถเหยียบแป้นที่อยู่ใต้ที่นั่งเพื่อหมุนเก้าอี้เข้าหากันด้วยค่ะ
ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินนาริตะไปสถานีโตเกียว 53 นาที และเราสามารถเห็นวิวโตกียวสกายทรีทางฝั่งขวามือก่อนถึงสถานีโตเกียว 10 นาทีด้วยนะคะ
นั่งรถไฟชมวิวรอบๆ ไปเรื่อยๆ แปปเดียวเท่านั้นก็เดินทางมาถึงสถานีโตเกียวเป็นที่เรียบร้อย สถานที่แรกที่เราจะไปท่องเที่ยวในวันนี้ก็คือ “ตลาดโทโยสุ”「Toyosu Market」ที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ที่ผ่านมา แต่ก่อนมุ่งหน้าไปที่ตลาดโทโยสุเราจะไปฝากของที่โรงแรมกันก่อน ซึ่งที่พักในคืนนี้ก็คือโรงแรม『Keikyu EX Inn Higashi-Ginza』 ตั้งอยู่ในสึกิจิในโตเกียว สามารถนั่งรถไฟมาจาก “สถานีโตเกียว” ด้วยรถไฟใต้ดิน “สายมารุโนะอุจิ” และต่อด้วย “สายฮิบิยะ” เมื่อลงจาก Narita Express แล้ว ให้เดินไปทางด้านหลังและขึ้นบันไดเลื่อนไป 1 ชั้น และก็จะเจอบันไดเลื่อน ยาวๆ อยู่ตรงหน้าให้ขึ้นบันไดเลื่อนนี้ไปอีกรอบ จากนั้นก็ออกจากช่องตรวจตั๋ว「Marunouchi Underground Central Exit」ที่อยู่เยื้องไปทางขวามือ
เมื่อออกมาจากช่องตรวจตั๋วแล้วก็เดินตรงไปตาทางเรื่อยๆ จนสุดทางก็จะเจอช่องตรวจตั๋วของรถไฟใต้ดินสายมารุโนะอุจิ แต่ก่อนจะผ่านเข้าช่องตรวจตั๋วเราจะไปซื้อตั๋วรถไฟไปสถานีใกล้โรงแรมที่ “สถานีสึกิจิ”「TSUKIJI STATION」กันก่อน ที่เครื่องจำหน่ายตั๋วที่อยู่ขวามือ
โดยก่อนอื่นจะต้องเช็คราคาตั๋วรถไฟจากบอร์ดแผนผังเส้นทางรถไฟที่อยู่บนเครื่องตรวจตั๋วเพื่อเช็คราคาตั๋วไป “สถานีสึกิจิ”(170 เยน)จากนั้นกดคำว่า「Language」ที่อยู่บนขวาหน้าจอ เพื่อเปลี่ยนเป็นภาษาไทย จากนั้นก็ทำตามขั้นตอนได้ไม่ยากเลย
เมื่อผ่านช่องตรวจตั๋วมาแล้วก็ลงบันไดเพื่อไปที่ชานชาลากันเลย เมื่อลงบันไดมาแล้วก็มุ่งหน้าไปที่ชานชาลาหมายเลข 1 ที่อยู่ขวามือ ขึ้นรถไฟที่มุ่งหน้าสู่ 「Ogikubo」นั่งไป 1 สถานีเพื่อลง ที่สถานีกินซ่า
เมื่อถึงสถานีกินซ่าแล้วก็ขึ้นบันไดที่อยู่ทางด้านหลัง จากนั้นก็ลงบันไดที่อยู่เยื้องไปทางขวามือเพื่อไปที่ชานชาลารถไฟสายฮิบิยะ「Hibiya Line」
เมื่อลงบันไดมาแล้วก็รอขึ้นรถไฟสายฮิบิยะ Hibiya Line ที่ออกตัวจากชานชาลาหมายเลข 6 ที่อยู่ซ้ายมือ จากนั้นก็ลงที่สถานีที่ 2 ที่สถานีซึกิจิ เมื่อลงรถไฟที่สถานีซึกิจิแล้วก็เดินไปทางด้านหลังชานชาลาเพื่อผ่านออกจากช่องตรวจตั๋ว「Tsukiji-honganji Gate」
เมื่อออกจากช่องตรวจตั๋วไปแล้วก็ตรงไปเรื่อยๆ และขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนดินเลย เมื่อขึ้นลิฟต์มาแล้วก็เดินไปด้านขวามือตามถนนใหญ่ ทางด้านฝั่งตรงข้ามก็คือวัดที่มีหลังคาทรงหัวหอมใหญ่「Tsukiji-honganji」ที่เราเคยได้พาเพื่อนๆ ไป「เต้นบงโอโดริ」ค่ะ Day3-4 เข้าร่วมงานเทศกาลหน้าร้อนในโตเกียวเมืองหลวงของญี่ปุ่นกับงาน “เทศกาลบงโอโดริ สึกิจิ ฮงกันจิ”Tsukiji Honganji Bon-Odori Festival」
เมื่ออกจากลิฟต์และเดินไปทางขวามือแล้ว ก็เลี้ยวขวาที่สี่แยกขนาดใหญ่ ในตึกที่ 2 ตึกสีขาวที่ชั้น 1F เป็นคาเฟ่「EXCELSIOR CAFFÉ」ก็คือโรงแรมที่เราจะพักกันในคืนนี้ที่『Keikyu EX Inn Higashi-Ginza』
เดินจากสถานีรถไฟมาเพียง 5 นาทีเท่านั้น และหากเดินไปอีก 1 นาทีก็คือสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่「ตลาดด้านนอกของซึกิจิ」อีกทั้งยังตั้งอยู่ในจุดที่สามารถเดินไปยังย่านช้อปปิ้งชื่อดัง “ย่านกินซ่า” อีกด้วย
ฟร้อนท์ของโรงแรมจะอยู่ที่ชั้น 2F สามารถขึ้นบันไดที่อยู่ด้านหน้าเพื่อไปที่ฟร้อนท์ได้แต่ หากเข้ามาจากทางเข้าด้านขวามือก็จะมีลิฟต์ให้ขึ้นมาที่ชั้นฟร้อนท์เช่นกัน ก่อนอื่นเราจะไปฝากของที่ฟร้อนท์กันก่อนเลย แน่นอนว่าสามารถฝากได้ฟรี ไม่เสียค่าบริการเพิ่มเติมค่ะ
เมื่อทำการฝากของที่ฟร้อนท์เรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางไปสู่สถานที่แรกของทริปที่ “ตลาดโทโยสุ”「Toyosu Market」กันเลย การเดินทางไป “ตลาดโทโยสุ” นั้นสามารถนั่งรถบัสจากป้ายที่อยู่หน้าโรงแรมขึ้นรถบัสที่มุ่งหน้าไปสู่「TOKYO BIG SIGHT(東京ビックサイト)」เพื่อนั่งรถบัสไปลงที่ป้ายรถบัส「Shin-Toyosu Station」ใกล้ “ตลาดโทโยสุ” รถบัสจะวิ่งชั่วโมงละ 3-5 เที่ยว และจะให้เวลาเดินทางไปยังป้าย Shin-Toyosu Station เป็นเวลา 11 นาที เท่านั้นก็เดินทางไปถึงตลาดโทโยสุในโตเกียวเลย
ตอนต่อไปเราจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวชม “ตลาดโทโยสุ” และ “ตลาดด้านนอกของปลาซึกิจิ” ที่เป็นตลาดใหม่และเก่าทั้ง 2 สถานที่ ฝากติดตามด้วยนะคะ ♪
【ตารางการเดินทาง Day1-1 NARITA AIRPORT/TSUKIJI STATION】
PASS ที่ใช้ TRIP นี้ “Mt.Fuji-Shizuoka Area Tourist Pass mini”