ROUND THE C・H・I
ของเราคือ ริวีวการท่องเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง
ติดตามรีวิวของแต่ละวันในทริป
พร้อมตารางการเดินทาง ค่าใช้จ่าย และ Pass ต่างๆ
Day1-1 การเดินทางจากสนามบินนาริตะสู่ตัวเมืองโตเกียว เที่ยวชมดอกไม้นานาชนิดที่บานสะพรั่งในฤดูใบไม้ผลิที่สวนฮามะริคิว「HAMARIKYU GARDENS」
TOKYO-ODAWARA-KAMAKURA-TOKYO
วันแรกของทริปเราจะเดินทางจากสนามบินนาริตะเพื่อเดินทางไปในเมืองโตเกียว เข้าโรงแรมเก็บสัมภาระก่อนจากนั้น ไปเดินเล่นที่สวนฮามะริคิว HamaRikyu Gardens
『HAMARIKYU GARDENS』หรือ สวนฮามะริคิว นี้เป็นสวนที่อยู่ใจกลางเมืองโตเกียว สามารถเพลิดเพลินไปกับความสวยงามของดอกไม้นานาชนิด ทั้ง ดอกซากุระ ดอกผักกาดเขียวกาดตุ้งสีเหลือง ดอกคอสมอสหรือดอกดาวกระจาย และต้นไม้นานาพันธุ์ได้ที่นี่
ในครั้งนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไป『HAMARIKYU GARDENS』หรือ สวนฮามะริคิว ที่กำลังเป็นที่พูดถึงใน TripAdviser และกำลังเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวฝั่งยุโรป และแนะนำเส้นทางการเดินทางจากสนามบินนาริตะเข้าในตัวเมืองโตเกียวกันค่ะ
ออกจากกรุงเทพ สุวรรณภูมิ มาเป็นเวลา 5 ชั่วโมงครึ่ง ถึงแม้ว่าช่วงนี้ที่สนามบินฮาเนดะจะมีเที่ยวบินต่าง ๆ เพื่มมากขึ้นแล้ว แต่สนามบินนาริตะก็ยังคงเป็นเหมือนประตูหน้าบ้านของประเทศญี่ปุ่นอยู่ดี ที่ ต.ม.คนเยอะมาก ๆ แต่เราใช้เวลาแค่ 45 นาทีก็ผ่าน ต.ม. ได้แล้ว
ช่วงเช้าของสนามบินนาริตะจะเต็มไปด้วยเที่ยวบินต่าง ๆ มากมายทั้งเที่ยวบินที่มาจากยุโรป หรือเอเชีย ทางออกผู้โดยสารขาเข้าประเทศก็เต็มไปด้วยคนที่เดินทางเข้าประเทศและคนที่มารับเลย
สนามบินนาริตะมีตึกเทอร์มินอลอยู่ถึง 3 ตึกทำให้มีผู้ที่มาใช้บริการที่นี่เป็นจำนวนมากที่สุด ซึ่งตึกเทอร์มินอลที่ 1 South Wing จะมีทั้งสายการบิน ANA, United Airlines หรือ Singapore Air ที่อยู่ในเครือ พวกStar Alliance
ด้านหน้าประตูทางออกขาเข้าประเทศจะมีเคาเตอร์ที่จำหน่ายตั๋วอยู่หลายแบบเช่น ตั๋วรถบัสเพื่อเดินทางไปยัง ในเมืองโตเกียว โยโกฮาม่า ดิสนีย์แลนด์ และเคาเตอร์รถไฟใต้ดินของสองบริษัทใหญ่อย่าง JR และ KEISEI แน่นอนว่าที่เคาเตอร์เหล่านี้สามารถชำระเงินด้วยบัตรเครดิตอย่าง VISA・Master・JCB ได้ นอกจากนี้ยังมีส่วนลดพิเศษลีมูซีนบัสให้กับลูกค้าที่ใช้บัตร JCB จากประเทศไทยอยู่ด้วย(ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา)
การเดินทางจากสนามบินนาริตะไปในเมืองโตเกียวนั้นสามารถเดินทางด้วยบริษัทรถไฟหลัก ๆ อย่าง JR หรือ KEISEI และรถบัส
-JR Narita Express-
เดินทางจากสนามบินนาริตะไป สถานีโตเกียว Tokyo 53 นาที・สถานีชินจุกุ Shinjuku 82 นาที・สถานีโยโกฮาม่า Yokohama 88 นาที ตั๋วขาเดียวราคาประมาณ 3000-4000 เยน
-KEISEI Skyliner-
เดินทางจากสนามบินนาริตะไป สถานีนิปโปริ Nippori 36 นาที・สถานีอุเอโนะ Ueno 40 นาที ตั๋วขาเดียวราคาประมาณ 2400 เยน
-ลีมูซีนบัส Limousine Bus –
เดินทางจากสนามบินนาริตะไป สถานีโตเกียว Tokyo 60-80 นาที ตั๋วขาเดียวราคาประมาณ 1000-3500 เยน(ราคาขึ้นอยู่กับบริษัท・ช่วงเวลา・สถานที่ปลายทาง)
แต่ละแบบก็จะมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งในครั้งนี้ ICHIGO-CHAN จะยึดเรื่องเวลา และไปในเมืองโตเกียวได้โดยไม่ต้องต่อรถไฟเป็นหลัก ครั้งนี้จึงเลือกใช้ JR Narita Express ค่ะ
ที่สนามบินนาริตะมีตั๋วที่สามารถใช้เดินทางภายในเมืองโตเกียวได้อย่างคุ้มราคาด้วย
ซึ่งครั้งนี้ ICHIGO-CHAN ได้เลือกเป็นบ『Tokyo Subway Ticket』
ตั๋วสุดคุ้มที่สามารถใช้รถไฟใต้ดินในเมืองโตเกียวได้ไม่อั้น
24 ชั่วโมง:800 เยน
48 ชั่วโมง:1200 เยน
72 ชั่วโมง:1500 เยน
หาซื้อได้ที่สถานีภายในเมืองบางสถานี LAOX หรือสามารถซื้อได้ที่สนามบินนาริตะเลย
สนามบินนาริตะนี้มีเคาเตอร์ลีมูบัสที่สามารถชำระเงินด้วยบัตรเครดิต เช่น VISA Master หรือ JCB ด้วยค่ะ
ซึ่งทริปของเราในครั้งนี้เป็นทริป 2 คืน 5 วัน ดังนั้น ICHIGO-CHAN เลยเลือกซื้อ ตั๋วสุดคุ้มนั่งรถไฟใต้ดินได้ไม่อั้น 48 ชั่วโมง 1200 เยน
สำหรับเพื่อน ๆ ที่แลกเงินเยนไว้เรียบร้อยแล้วก็ไปเที่ยวได้แบบสบาย ๆ เลย ส่วนเพื่อน ๆ ที่ยังไม่ได้แลกเงินหรือคิดว่าแลกเงินมาไม่พอก็ไม่ต้องกังวลไปค่ะ ที่สนามบินนาริตะมีตู้ ATM ที่สามารถกดเงินเยนจากบัญชีต่างประเทศได้ค่ะ
เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นจะมีร้านที่ให้บริการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตไม่มากเท่าประเทศไทย โดยเฉพาะร้านขายกล้องมือสอง กระเป๋าแบรนด์เนมมือสอง ยิ่งไม่ค่อยมีให้บริการบัตรเครดิต ส่วนตู้ ATMของญี่ปุ่นส่วนมากก็ไม่สามารถกดบัตรจากต่างประเทศได้ ดังนั้นกดเงินจากที่สนามบินนาริตะไว้เลยน่าจะปลอดภัยและสะดวกที่สุด ซึ่งภายในสนามบินนาริตะเองก็มีตู้ ATM อยู่หลายตู้ แต่ตู้ ATM ที่เราคิดว่าน่าจะสะดวกที่สุดนั้น คือ “SEVEN BANK ATM” ค่ะ ต้องเดินออกจากประตูทางออกผู้โดยสารขาเข้าประเทศไปทางซ้าย และเดินตรงไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอตู้เอทีเอ็มธนาคารเซเว่นอยู่ทางซ้ายมือเลย มีหลายเครื่องด้วย ส่วนเรทค่าเงินที่กดจากตู้ ATM ของเซเว่นนั้นก็ไม่ค่อยต่างจาก Super Rich และอาจจะได้ค่าเงินที่ดีกว่าแลกที่ธนาคารที่ไทยด้วยค่ะ
อ่านข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างเลย ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการจัดการกับเงินตราต่างประเทศในประเทศญี่ปุ่น
สถานีของสนามบินนาริตะนั้น ต้องเดินออกจากประตูทางออกผู้โดยสารขาเข้าประเทศ และลงบันไดเลื่อนที่อยู่ด้านซ้ายมือทันที และเดินไปตามทางเรื่อย ๆ ก็จะเจอเลย เมื่อเดินมาถึงทางเดินก็จะเจอจุดจำหน่ายตั๋วและช่องตรวจตั๋วของ JR อยู่ทางขวามือ และ KEISEI อยู่ทางซ้ายมือ
สำหรับ JR Narita Express ที่สามารเดินทางไป โตเกียว TOKYO・โยโกฮาม่า YOKOHAMA ・ชินจุกุ SHINJUKU จะวิ่งทุก 30 นาที
ส่วน KEISEI Skylinerที่ไปอุเอโนะ UENO・นิปโปริ NIPPORI จะวิ่งทุก 20-40 นาที
เพราะฉะนั้นเพื่อนๆ สามารถเลือกนั่งได้ตาม สถานที่ปลายทาง หรือ ราคา ตามความชอบของแต่ละคนเลย
สามารถซื้อตั๋วได้จากเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติเลย แต่ทว่าเครื่องจะจำกัดจำนวนการซื้อตั๋วจ่อครั้งอยู่ โดยเฉพาะหากเพื่อน ๆ ต้องการซื้อตั๋วจำนวน 4 คนขึ้นไปก็อยากจะแนะนำให้ไปซื้อตั๋วที่เคาเตอร์จำหน่ายตั๋วได้เลย
ส่วนใครที่จะใช้บริการ JR Narita Express ทั้งขาไปและขากลับก็อยากแนะนำให้ซื้อเป็น 『Nex Tokyo RoundTrip Ticket』เลยจะคุ้มกว่า
จากราคาปกติที่ประมาณ 6000-9000 เยน(ขึ้นอยู่กับสถานที่ปลายทาง)ในการเดินทางไปโตเกียว ชินจุกุ หรือ โยโกฮาม่า ราคาไปกลับก็จะลดเหลือเพียง 4000 เยนเท่านั้น ซึ่งตั๋วนี้สามารถซื้อได้เฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเท่านั้นด้วย คุ้มสุด ๆ ไปเลย
เมื่อซื้อตั๋วเรียบร้อยก็เข้าไปข้างในเลย ลงบันไดเลื่อนไปก็จะเจอรถไฟด่วนพิเศษ Narita Express คันสีขาวแดงจอดอยู่ด้านขวามือเลยค่ะ
『Narita Express』จะมีพื้นที่สำหรับเก็บกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ที่สามารถล๊อคได้ สะดวกและไม่ต้องกังวลว่าของจะหายเลยค่ะ
ที่นั่งแบบ Reclining Seat ที่มีปลั๊กไฟอยู่ในแต่ละที่นั่ง ให้ผู้โดยสารสามารถชาร์ตแบตมือถือหรือโน๊ตบุ๊คได้เลย
และยิ่งไปกว่านั้น เราสามารถเหยียบแป้นที่อยู่ใต้ที่นั่งเพื่อหมุนเก้าอี้เข้าหากันด้วยค่ะ
ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินนาริตะไปสถานีโตเกียว 53 นาที และเราสามารถเห็นวิวโตกียวสกายทรีทางฝั่งขวามือก่อนถึงสถานีโตเกียว 10 นาทีด้วยนะคะ
และแล้ว ICHIGO-CHAN ก็มาถึงใจกลางเมืองโตเกียวที่สถานีโตเกียวแล้วค่ะ
ก่อนอื่นเราจะไปสถานีชิมบาชิ SHIMBASHI ใกล้ที่พัก『HOTEL MUSSE』เพื่อเอาสัมภาระต่างๆ ไปเก็บไว้ที่โรงแรม แล้วค่อยไปเที่ยวต่อ เพราะฉะนั้นเมื่อลงจาก Narita Express ที่สถานีโตเกียวแล้ว ก็นั่งสายโยโกซุกะ YOKOSUKA LINE ที่อยู่ชานชาลาตรงข้ามเพื่อนั่งไปสถานีชิมบาชิ สถานีใกล้โรงแรมกันค่ะ
และเมื่อถึงสถานีชิมบาชิแล้วก็ขึ้นบันไดเลื่อนที่อยู่ในชานชาลาเลยค่ะ ออกจากช่องตรวจตั๋วไป จากนั้นก็เลี้ยวซ้ายและเดินตรงไปตามทางเดินยาวๆ เรื่อยๆ และผ่านลานจุดนัดพบรถไฟใต้ดินไปอีก เพื่อไปออกทางออกหมายเลข 5 เพื่อขึ้นไปสู่ชั้นบนดินค่ะ
เมื่อขึ้นบันไดมาแล้ว ก็เดินตรงไปเรื่อยๆ ………..เดี๋ยวก่อน เราเจอร้านซูชิ ขื่อว่า “ซูชิซันมัย”『SUSHIZANMAI』ที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงด้วยค่ะ
เห็นเมนูที่หน้ากินของร้าน กับคนที่รอหน้าร้านทั้งๆที่ยังไม่ถึงเที่ยงแล้ว สงสัยว่าจะต้องอร่อยแน่ๆ เราเลยตัดสินใจทานอาหารกลางวันกันที่นี่เลยค่ะ
เข้าไปในร้านเราจะเห็นเชฟกำลังปั้นซูชิอยู่ตรงหน้าเลย ภายในร้านมีทั้งที่นั่งแบบเคาเตอร์และที่นั่งแบบโต๊ะมากมาย ที่นั่งแบบโต๊ะสามารถนำโต๊ะมาต่อกันได้ รองรับแขกกลุ่มได้มากที่สุด 8 คนเลย
ร้านนี้คนเยอะทั้งกลางวันและดินเนอร์ ดังนั้นจึงอยากแนะนำสำหรับเพื่อนๆ ที่ไปกันเป็นกลุ่มใหญ่ควรจะหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่คนเยอะที่สุด (ช่วง 12:00-14:00/ 18:00-21:00)ค่ะ
เมนูร้านก็จะหน้าตาแบบนี้ รูปน่าทานไปหมดเลย ที่ร้านเราสามารถสั่งซูชิที่อยากทานให้เชฟปั้นให้เลยก็ได้เช่นกัน แต่สำหรับชาวต่างชาติที่พูดญี่ปุ่นไม่ได้ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ยากหน่อย
เพราะฉะนั้นอาจเลือกเป็นเมนูแบบเซ็ตอย่าง 「Kokoro-iki Assortment with Miso soup」(2000 เยน)เซ็ตซูชิ 10 คำพร้อมซุปมิโซะ หรือ「Sushizanmai Deluxe with Miso soup」(3000 เยน)ก็ได้เช่นกันค่ะ
ICHIGO-CHAN สั่ง Seafood Chirashi bowl with Miso Soup(1500 เยน)
เป็นเซ็ตที่มีข้าวหน้าปลาสดๆ นานาชนิดจากตลาดปลาสึกิจิ และซุปมิโซะชามใหญ่ น่าทานมากๆ หลายคนอาจไม่กล้ากินปลาดิบเพราะกลัวจะท้องเสียรึเปล่า ไม่ต้องห่วงนะคะปลาดิบที่ญี่ปุ่นสดใหม่สะอาดปลอดภัยแน่นอนเลยค่ะ
อู้หูววว เนื้อปลาสดและนิ่มมากๆ
ความจริงเซตข้าวอย่างเดียวก็อิ่มแล้ว แต่ ICHIGO-CHAN สั่งมากุโระห่อสาหร่ายมาด้วย(350 เยน)คิดราคารวมแล้วทั้งหมด 1998 เยนเท่านั้น ราคาไทยก็ประมาณ 600 บาท และที่สำคัญที่นี่ไม่มีค่าบริการที่คล้ายๆ เซอร์วิสชาร์ตด้วย ดีไปเลย
หลังจากทานอาหารแล้ว ไปโรงแรมเพื่อไปเก็บของกันค่ะ ออกร้าน「SUSHIZANMAI」ไปทางขวา และเดินตรงไปเรื่อยๆ ซักพักก็จะเจอร้าน Asics อยู่ทางซ้ายมือ และร้าน Lawson อยู่ทางขวามือค่ะ แล้วเลี้ยวขวาที่แยกที่อยู่เลย Lawson
เมื่อเลี้ยวมาแล้วก็ตรงไปเรื่อยๆ เดินผ่านถนนใหญ่ไปอีก และเดินไปอีกประมาณ 3 บล๊อค จะเจอตึกที่มีเซเว่นอยู่ชั้น 1F ก็คือตึกโรงแรมของเรา「HOTEL MUSSE GINZA」ค่ะ
และสถานที่ที่เราจะไปเป็นที่แรกของทริปนี้ก็คือ「HAMARIKYU GARDENS」หรือ สวนฮามะริคิว ค่ะ
เป็นสวนที่อยู่ใจกลางเมืองโตเกียว มีพื้นที่กว้างขวางเต็มไปด้วยดอกไม้ใบหญ้านานาชนิด และที่สวนฮามะริคิวนี้ยังมี「TOKYO CRUISE」ที่สามารถใช้เดินทางไปที่โอไดบะหรืออาซากุสะได้อีกด้วยค่ะ
จากโรงแรมไปสวนฮามะริคิวใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 10 นาที ออกจากโรงแรมไปทางขวา ไปเรื่อยๆ ก็จะเจอสามแยกที่มีดองกิโฮเตะอยู่ ให้เลี้ยวซ้ายไป จากนั้นก็เลี้ยวขวาที่แยกต่อไป ลอดผ่านทางด่วนไปเรื่อยๆ และจะเจอบันไดและลิฟต์เพื่อขึ้นไปสะพานทางเดินอยู่ทางขวามือ ให้ขึ้นไปเลย และเดินข้ามสะพานทางเดินไปเรื่อยๆ
ออกจากโรงแรมมาประมาณ 5 นาทีก็จะผ่านรถไฟใต้ดินสถานีชิโอโดเมะ Shiodome
ที่ชิโอโดเมะนี้เป็นที่ๆ เป็นศูนย์รวมของบริษัทใหญ่ๆต่างๆมากมายทั้ง สายการบินหรือสถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ และที่ริมถนนก็มีชิบะซากุระบานสวยงามอยู่ด้วย ทั้งๆ ที่ตอนนี้เพิ่งเข้าเดือนเมษายนแท้ๆ เลย(โดยปกติแล้วดอกนี้จะบานช่วงกลางเดือนเมษายน)ได้เดินชมดอกไม้สวยงามท่ามกลางบรรยากาศในเมืองตึกสูงแบบนี้ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ ลืมความเมื่อยระหว่างเดินอยู่ไปเลย
จากสถานีชิโอโดเมะ ผ่านข้างๆ โรงแรม Conrad ไปก็จะเจอสี่แยกไฟแดงที่อยู่ใต้ทางด่วน ให้เดินข้ามสี่แยกไปและข้ามไปทางเดินฝั่งขวา และข้ามสะพานไป ก็จะเจอทางเข้า『HAMARIKYU GARDENS』หรือ สวนฮามะริคิว อยู่ซ้ายมือเลย
「HAMARIKYU GARDENS」หรือ สวนฮามะริคิว มีค่าเข้าชม 300 เยน แต่ถ้ามีบัตร 「Tokyo Subway Ticket」และแสดงบัตรก็จะได้ส่วนลด 20%ลดเหลือ 240 เยน เมื่อซื้อบัตรเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าไปด้านในตามที่พนักงานบอกเลย
เมื่อก่อนที่สวนฮามะริคิว「HAMARIKYU GARDENS」นี้เคยถูกใช้เป็นที่ล่าเหยี่ยวของโชกุนในสมัยเอโดะหรือไร่ชาด้วย แต่พอผ่านสงครามโลกครั้งที่สองไป ที่นี่ก็ถูกเปิดเป็นสวนเลยค่ะ บ่อน้ำภายในสวนก็เป็นน้ำที่ถูกดึงมาจากทะเลที่อยู่ติดกัน(อ่าวโตเกียว)ทำให้เราสามารถชมวิวบ่อน้ำของสวนที่เปลี่ยนแปลงไปตามน้ำขึ้นน้ำลงของทะเล ไปพร้อมๆกับปลาที่อาศัยอยู่ในอ่าวโตเกียวด้วย
ซึ่งภายในสวนนี้จะมีดอกไม้นานาชนิดมากมาย ทั้ง ดอกซากุระ ดอกโบตั๋น ดอกกุหลาบ ดอกผักกาดเขียวกวางตุ้งสีเหลือง ที่เราสามารถเพลิดเพลินไปกับดอกไม้ใบหญ้าภายในสวนได้ตลอดทั้งปีเลย หรือแม้กระทั่งในฤดูใบไม้ร่วงก็สามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีของต้นไม้ที่อยู่ในสวนได้ด้วย ซึ่งสวนนี้กว้างมากๆ ถ้าจะให้เดินชมรอบๆ ก็คงต้องใช้เวลาเป็นวันๆ เลยแต่ครั้งนี้ด้วยเวลาที่จำกัดของ ICHIGO-CHAN เลยขอชมสวนนี้แบบเร่งรีบหน่อย ขอเก็บเฉพาะไฮไลท์ของที่นี่นะคะ
เมื่อเข้ามาก็จะเห็นซากุระที่ปลูกอยู่ในสวนแบบญี่ปุ่นบานเต็มที่ สวยมาก ๆ เลย และตึกที่เห็นอยู่ด้านหลังก็คือตึกหรูเป็นวิวที่ตัดกันสวยไปอีกแบบ
และหากตรงไปอีกประมาณ 300m ก็จะเจอกับบ่อน้ำที่กักเก็บน้ำจากอ่าวโตเกียวชื่อ「SHIOIRI NO IKE」ซากุระที่บานอยู่ริมบ่อก็กำลังบานเต็มที่ทั้งดอกสีขาวและชมพูสวยงามมาก ๆ
ทุกคนรู้สึกไหมคะว่ารูปที่เราถ่ายมาไม่มีคนติดอยู่ในรูปเลย??นั่นก็เพราะว่า สวนฮามะริคิวนี้เป็นสวนที่ต้องเสียค่าเช้าชม บวกกับซากุระที่ถูกปลูกอยู่ทุกแห่งในสถานที่โดยรอบ ทำให้เราสามารถถ่ายรูปซากุระ และเที่ยวชมซากุระได้แบบสบาย ๆ เลย จ่ายแค่ 300 เยนแต่ได้บรรยากาศที่สงบแบบนี้ถือว่าคุ้มเลย
และเราก็กลับมาถึง คาโบคุเอ็น「KABOKUEN」แล้ว
เป็นสถานที่ที่เราสามารถถ่ายรูปสีชมพูอ่อนของซากุระที่ปนกับสีชมพูเข้มของดอกพีช
แน่นอนว่าเราจะสามารถชมได้ทั้งดอกพีชและดอกซากุระได้ที่「KABOKUEN」แต่ที่มุมหนึ่งของที่นี่มีของกินขายหลายอย่างเลยทั้ง ไอศกรีม(180 เยน)ขนมญี่ปุ่น(130 เยน-)เครื่องดื่ม(130 เยน)และเครปไส้ขนมชื่อดังจากเกียวโตอย่างร้านขนมเก่าแก่ยาสึฮาชิ กับเครป「NISHIO YATSUHASHI」(350 เยน)ด้วย
ถึงจะได้เที่ยวสวนฮามะริคิวในบรรยากาศสงบ ๆ แบบนี้ แต่ไม่ว่าไปที่ไหนเรื่องกินเรื่องใหญ่จริง ๆ ดูแถวคนที่กำลังต่อแถวซื้อของกินสิคะ ยาวเหยียดเลย
ICHIGO-CHAN ก็ไม่พลาด ซื้อเครปนิชิโอะยาสึฮาชิ「NISHIO YATSUHASHI」มากินซักหน่อย อร่อยมาก ๆ
ข้ามคูน้ำด้านในมาจากสวน เดินไปทางซ้าย ก็จะเจอซากุระที่กำลังบานเต็มต้นเลย มันสวยมากๆ จนมีนักท่องเที่ยวมารวมตัวกันที่ต้นซากุระต้นนี้กันเป็นจำนวนมาก
ซึ่งในเทศกาลที่ดอกไม้บานแบบนี้ ที่ญี่ปุ่นจะมีวัฒนธรรมการสังสรรค์ทั้งดื่มและกินอาหารกันใต้ต้นไม้เพื่อเพลิดเพลินกับดอกไม้ในฤดูนี้ค่ะเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า “โอฮานามิ”「OHANAMI」เดิมทีเทศกาลนี้เริ่มเป็นที่นิยมในหมู่ขุนนางตั้งแต่ 1200 ปีก่อน และเพิ่งเริ่มเป็นที่แพร่หลายกันในบุคคลทั่วไปเมื่อ 400 ปีก่อนในสมัยเอโดะ จนกลายมาเป็นวัฒนธรรมที่คนญี่ปุ่นขาดไม่ได้และจัดขึ้นในทุกๆ ปีเลยค่ะ
แต่ละคนกำลังผ่อนคลายในแบบของตัวเอง ทั้งคนที่กำลังกินข้าวกล่องชมซากุระ คนที่นอนดูซากุระ และคนที่กำลังเล่นมือถืออย่างจดจ่อใต้ต้นซากุระ ส่วน ICHIGO-CHAN ก็กำลังถ่ายรูปคู่กับซากุระแบบหน้าแนบเลย น่ารักไหมคะ 555
และเมื่อเดินไปอีกโดยให้คูน้ำด้านในอยู่ด้านหลังเรา ก็จะเจอดอกผักกาดเขียวกาดตุ้งสีเหลืองบานเต็มทุ่ง อีกทั้งยังมีดอกซากุระบานอยู่ด้านหลังด้วย เป็นวิวที่มีทั้งสีเขียว ชมพู และเหลือง สีสันสดใสมากๆ
และเมื่อหันกลับไปก็จะเจอภาพวิวที่ตัดกันระหว่างดอกผักกาดเขียวกาดตุ้งสีเหลืองและตึกของชิโอโดเมะ สวยไปอีกแบบเลย
ซึ่งดอกผักกาดเขียวกาดตุ้งสีเหลืองนี้จะบานนานกว่าดอกซากุระเล็กน้อย คือจะบานตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมจนถึงประมาณวันที่ 10 เมษายนเลย
ทุ่งดอกผักกาดเขียวกาดตุ้งสีเหลืองนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นทุ่งดอกคอสมอสแทนในเดือนตุลาคมค่ะ และเมื่อเข้าช่วงเดือนพฤศจิกายนเราก็สามารถเพลิดเพลินกับใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงกันต่อเลย ที่สวนฮามะริคิว「HAMARIKYU GARDENS」ยังไงถ้าเพื่อนๆ คนไหนชอบชมดอกไม้ก็ลองมาเที่ยวที่นี่ดูนะคะ
และเลย「ทุ่งดอกไม้」ไปอีกก็จะเจอ ศาลเจ้าอินาริ ซึ่งศาลเจ้านี้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อ 95 ปีที่แล้ว เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่อทดแทนและรวมศาลเจ้าที่พังทลายไปจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เขตคันโตในปีพ.ศ.2466
จากมุมนี้เราจะมองเห็นซากุระที่บานเต็มต้น เมื่อมองลึกเข้าไปก็จะเห็นศาลเจ้าอินาริ ที่ยังคงความเก่แก่ไม่เปลี่ยนไปจากสมัยก่อน และเมื่อมองหันหลังไปก็จะเห็นวิวตึกสูงสมัยใหม่ของชิโอโดเมะ เป็นบรรยากาศที่ทำให้เราได้เห็นโลกอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้ในช่วงเวลาเดียวกันเลย
เอาล่ะเมื่อผ่านศาลเจ้าอินาริ「INARI JINJA」ก็จะเห็นท่าเรืออยู่ทางซ้ายมือค่ะ ซึ่งเรือจะออกตัวจากที่นี่ผ่าน「HINODE PIER」เพื่อมุ่งหน้าไปที่อาซากุสะค่ะ
เมื่อเข้าช่วงซากุระ จะมีเรือ「OHANAMI CRUISE」เรือชมซากุระ ซึ่งเรือจะวิ่งชั่วโมงละ 2 เที่ยว รอบนาทีที่ 25 และ 55 ตั้งแต่ 9:00 ถึง 16:00 นาฬิกา(เฉพาช่วงชมซากุระเท่านั้น)
คนน่าจะเยอะน่าดูเลย สามารถไปใช้บริการได้เลยแบบไม่ต้องจองไว้ก่อนด้วย ICHIGO-CHAN ไม่รอช้ารีบไปดีกว่า
สามารถซื้อตั๋ว「OHANAMI CRUISE」เรือชมซากุระเพื่อไปอาซากุสะ(740 เยน)ได้จากเครื่องขายตั๋วที่มีอยู่ตู้เดียว แถวเลยยาวมาก เวลาเรือก็ใกล้เข้ามาแล้วด้วย แต่พนักงานจะคอยช่วยจัดการให้ตอนซื้อตั๋ว นั่งเรือทันเวลาพอดีเลยค่ะ เครื่องนี้สามารถซื้อตั๋วได้มากสุดครั้งละ 3 ใบค่ะ
เอาล่ะICHIGO-CHAN ต้องใช้เวลานั่งเรือประมาณ 1 ชั่วโมง มุ่งหน้าไปอาซากุสะ เพื่อชมซากุระที่แม่น้ำสุมิดะ และซากุระบริเวณโดยรอบริมแม่น้ำค่ะ
ในครั้งต่อไปเราจะพาทุกคนไปดูบรรยากาศ「SUMIDAGAWA・OHANAMI CRUISE」กันค่ะ
【ตารางการเดินทางDay1-1 สนามบินNARITAถึงSHINBASHI】