Day3-1 เดินเเที่ยว『KISOJI FUKUSHIMA』
หลังจากที่ ICHIGO-CHAN พักเกสต์เฮาส์แบบญี่ปุ่น ที่พักส่วนญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก
ได้เยียวยาร่างกายและจิตใจจากการต้อนรับที่แสนอบอุ่นของคุณยายเจ้าของที่พัก
Day2-5 อบอุ่นกายและใจไปกับ「MANZOU NO YADO MURACHIYA」ที่พักส่วนบุคคลในแบบของคนในท้องถิ่น
แล้วคุณยายก็พา ICHIGO-CHAN ไปสถานที่จัดงาน『KISOJI HYOUSETSU NO AKARI MATSURI』(เทศกาลไฟคิโซะจิเฮียวเซสึ)ด้วย
ครั้งนี้เลยอยากจะมาแนะนำเทศกาล 『KISOJI HYOUSETSU NO AKARI MATSURI』(เทศกาลไฟคิโซะจิเฮียวเซสึ)และสถานที่ในเมืองคิโซะฟุกุชิมะกัน
คุณยายเจ้าของที่พักแบบส่วนบุคคล「MURACHIYA」พามายังลานกว้างที่เป็นสถานที่จัดงาน 『KISOJI HYOUSETSU NO AKARI MATSURI』(เทศกาลไฟคิโซะจิเฮียวเซสึ)คุณลุงคุณป้าท่าทางใจดีก็ดูแลด้วยการเอาน้ำชามาให้ดื่มและช่วยอธิบายความน่าสนใจของเมืองคิโซะฟุกุชิมะให้ฟัง
เมืองเก่าแก่นั้น ตั้งอยู่ห่างจากบริเวณ「MURACHIYA」ลานกว้าง และสถานี จะใช้เวลาในการเดินไปไม่ถึง 10 นาที
แล้วก็ขอไปดูรูปปั้นหิมะซะหน่อย
มีรูปปั้นทำมือเรียงเต็มเลย น่าตื่นตาตื่นใจมาก เป็นวิวที่หาดูไม่ได้จากที่ไทยแน่นอน……
พอรู้แบบนั้นแล้ว ICHIGO-CHAN ก็รีบขอไปถ่ายรูปกับรูปปั้นหิมะซะหน่อย
เขาบอกว่ารูปปั้นที่ ICHIGO-CHAN นั่งอยู่มันคือสนูปี้ 555
อันนี้ก็ถ่ายออกมาได้สวยเลย
『KISOJI HYOUSETSU NO AKARI MATSURI』(เทศกาลไฟคิโซะจิเฮียวเซสึ เฉพาะภาษาญี่ปุ่น) คือการเรียกพื้นที่ตั้งแต่ชิโอจิริถึงนาคาซึกาว่า เป็นพื้นที่ทั้งบริเวณว่า「คิโซะจิ」งานจะจัดขึ้นช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์
ที่คิโซะจิฟุกุชิมะจะจัดขึ้นช่วงสองวันแรกของเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี พอตอนกลางคืนก็มีการประดับโคมไฟไว้รอบๆให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในโลกแห่งจินตนาการเลย เป็นงานอีเว้นท์ที่คนมากมายจากทั้งนากาโนะ และแน่นอนว่าจังหวัดใกล้ๆอย่างนาโกย่าก็มาเที่ยวชมงานเป็นจำนวนมาก
ระหว่างที่ ICHIGO-CHAN กำลังเล่นกับรูปปั้นหิมะอยู่ ก็มีคุณแม่ที่อาศัยอยู่แถวนี้เอาขนมและเค้กมาเสริม แล้วก็ตั้งวงพูดคุยกัน
ICHIGO-CHAN ก็ได้กินเค้กฝีมือคุณแม่ด้วย
ถึง ICHIGO-CHAN จะมาเป็นนักเที่ยวแต่รู้สึกเหมือนได้เป็นคนในพื้นที่ไปด้วยเลย
ถึงอากาศจะติดลบแต่รู้สึกอบอุ่นใจแบบบอกไม่ถูกเลย
พูดคุยกับพวกแม่ๆก็สนุกดีนะ แต่เวลาก็มีจำกัด
เมืองเก่าแก่ที่ทุกคนแนะนำ ตั้งอยู่ในระยะทางที่สามารถเดินไปจากบริเวณ「MURACHIYA」หรือลานกว้างได้
และพื้นที่ที่อยู่ในวงกลมสีแดงคือศูนย์กลางของสถานที่ท่องเที่ยว
ถ้าออกจาก「MURACHIYA」ให้ไปทางซ้ายมือ
และเลี้ยวซ้ายตรงสี่แยกไฟแดงที่มีสะพานรถไฟอยู่ทางด้านบน พอเลี้ยวซ้ายแล้วก็ตรงไปเรื่อยๆประมาณ 1 นาทีก็จะถึงสามแยก
พอถึงสามแยกก็เลี้ยวไปทางซ้ายและตรงไปเรื่อยๆ แค่มองวิวภูเขาหิมะกับท้องฟ้าก็คงทำให้คนไทยสามารถเพลิดเพลินได้เต็มอิ่มแล้ว แต่ต้องระวังด้วยนะพื้นมันเป็นน้ำแข็งอยู่ อย่ามัวแต่ดูวิวจนลื่นล้มไปล่ะ ระวังด้วยน๊าทุกคน
และแล้วก็มาถึง「ฟุกุชิมะจุกุ」บรรยากาศดีเลยทีเดียว
ที่นี่ในอดีตครึกครื้นไปด้วยผู้คนที่ใช้เส้นทาง「NAKASENDO」นี้ในการเดินทาง ระหว่างเอโดะ(โตเกียว)ไปเกียวโตและใช้พื้นที่นี้เป็นเมืองพักแรม
จนถึงตอนนี้เองก็ยังมีกลิ่นอายของความเป็นยุคเอโดะอยู่เลย ให้ความรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลาไปในสมัยก่อนเลย
แค่ดูก็รู้ว่า「ฟุกุชิมะจุกุ」นี้มีมุมสวยๆน่าถ่ายรูปที่มีความเป็น 「ญี่ปุ่น」อยู่เยอะเลย
ลองถ่ายรูปในแบบเฉพาะของเราซักหนึ่งใบแล้วอัพรูปอวดเพื่อนๆในโซเชี่ยลกัน
เพียงแค่หิมะปกคลุมบันได ก็ให้ความรู้สึกเหมือน「YUKI NO OTANI 」「ยูกิโนะโอทานิ 」ของ ALPEN-ROUTE เลยกลายเป็นมุมที่เหมาะแก่การถ่ายรูปมากเลย
พอเห็นหิมะแล้วเหมือนมีเวทมนต์เลย
พอเดินไปซักพักก็จะเจอกับตึก「KISOJI CULTURE GALLERY」(แกลลอรี่วัฒนธรรมคิโซจิ)
ลองเข้าไปดูข้างในกันเถอะ
ชื่อเขาบอกว่าเป็นแกลเลอรี่วัฒนธรรมก็คิดไปซะไกลเลย แต่ข้างในขายทั้ง「โอเด้ง」「น้ำชา」หรือมันจูไว้ให้นักท่องเที่ยวที่ท่องเที่ยวอยู่ในความหนาวได้อบอุ่นร่างกายกันด้วย
แน่นอนว่าโอเด้งกับน้ำชาก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นร่างกายแล้ว แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น รองยิ้มของพี่ชายที่มีสไตล์เหมือนศิลปินคนนี้ยิ่งทำให้ ICHIGO-CHAN อบอุ่นใจมากขึ้นไปอีก
ถึงจะบอกว่าเหมือนศิลปิน แต่จริงๆแล้วเขาก็คือศิลปินนั่นแหละ
ซึ่งเขาคือช่างทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่เป็นสินค้าขั้นชื่อของพื้นที่นี้
ที่ข้างหน้าแกลลอรี่ก็มีคนกำลังปั้นรูปปั้นหิมะอยู่ด้วย
อันนี้คือรูปปั้นหิมะรูปแพนด้ารึเปล่านะ !?
ที่ต่อไป 「FUKUSHIMA SEKISHO」(ด่านฟุกุชิมะ)
ออกจาก「KISOJI CULTURE GALLERY」(แกลลอรี่วัฒนธรรมคิโซจิ)ไปทางด้านซ้าย และก็จะเจอสี่แยกไฟแดงให้เลี้ยวไปทางขวาแล้วเดินไปนิดนึง
จากนั้นจะเจอกับบันไดชัน ให้เดินขึ้นไปเลย เมื่อเดินขึ้นไปถึงข้างบนก็จะเห็นรั้วสีดำอยู่ตลอดทางเหมือนในรูปที่สาม ส่วนทางด้านขวาจะสามารถมองเห็นวิวบรรยากาศของเมืองคิโซะฟุกุชิมะได้ด้วย
เราเคยแนะนำไปก่อนหน้านี้แล้วว่า เมื่อก่อนญี่ปุ่นเป็นประเทศสหพันธรัฐที่มีหลายๆประเทศ(แคว้น)เล็กๆมารวมกัน
ทำให้มีการตั้ง「ด่าน」อยู่ทุกหนทุกแห่ง ถ้าเทียบกับตอนนี้ก็คือด่านตรวจคนเข้าเมือง การจะผ่านด่านก็จะต้องใช้ 「ตั๋วผ่านทาง」ด้วยเทียบตอนนี้ก็คือพาสปอร์ตหรือหนังสือเดินทางนั่นเอง
ซึ่งภายในเส้นทางระหว่างเกียวโตไปโตเกียว(เอโดะ) จะมี「ด่านฟุกุชิมะ」นี้ที่มีขนาดใหญ่พอๆกับนาโกย่าเลย
ข้างในนี้จะมีเอกสารหรืออาวุธเสื้อเกราะหลงเหลืออยู่ ทำให้สามารถเรียนรู้ประวัติความเป็นมาต่างๆในสมัยนั้นได้อีกด้วย (ค่าเข้าชม900เยน)
แต่ถ้าไม่เข้าไปถึงข้างในก็ฟรี อาจจะถ่ายรูปบรรยากาศจากข้างนอกก็ได้เหมือนกัน
เอาล่ะ เวลาของรถไฟก็ใกล้เข้ามาแล้ว
ที่ต่อไปที่เราจะไปคือ「MAGOME JUKU」「มาโกะเมะจุกุ」เดินทางด้วยเส้นทางสาย Local ซึ่งจะใช้เวลา 44 นาที
แต่ก่อนอื่นเราจะต้องเดินไปที่สถานีคิโซะฟุกุชิมะกันก่อน ใช้เวลาประมาณ 12 นาที
ดูจากป้ายเส้นทางที่อยู่ด้านบนแล้ว ถ้าจะไป「MAGOME JUKU」「มาโกะเมะจุกุ」จะต้องไปลงที่สถานีมินามิคิโซะราคาจะอยู่ที่ 580 เยน
ก่อนอื่นเลยก็ไปที่ตู้กดอัตโนมัติแล้วกดไปที่ปุ่ม 580 จากนั้นก็แค่ใส่เงินเข้าไปตามจำนวน เท่านี้ก็ซื้อตั๋วได้แล้ว
ถ้าเป็นที่ช่องจำหน่ายตั๋วจะสามารถใช้บัตรเครดิตได้ เพราะฉะนั้นหากต้องการใช้บัตรเครดิตก็ต้องซื้อตั๋วจากช่องจำหน่ายตั๋ว
จากสถานีคิโซะฟุกุชิมะไปสถานีมินามิคิโซะที่ใกล้สึมาโกะ จะมีรถไฟด่วนพิเศษวิ่งอยู่ชั่วโมงละ 1 เที่ยวและรถไฟธรรมดาอีก 9 เที่ยวต่อวัน
รถไฟมาจอดตามเวลาเป๊ะ คันใหม่เอี่ยมด้วยมีอยู่สองโบกี้
สมกับเป็นญี่ปุ่นเมืองแห่งรถไฟ
ถึงจะเป็นรถไฟสายธรรมดาก็ยังมีเบาะนิ่มๆให้นั่ง
รถไฟที่จะไปมินานคิโซะจะแล่นเลียบแม่น้ำคิโซะ และวิ่งผ่านคิโซจิที่มีภูเขาล้อมรอบ
ทางด้านซ้ายมือของเส้นทางนี้จะเป็นแม่น้ำคิโซะ และในบางช่วงจะมองเห็นวิวสวยๆของแม่น้ำคิโซะและหมู่บ้านได้ดังนั้นแนะนำว่าถ้ามีที่ว่างก็ให้นั่งฝั่งด้านซ้ายเอาไว้เลยดีกว่า
ขณะที่กำลังชมวิวไปเพลินๆก็ถึงมินามิคิโซะกันแล้ว
ในครั้งหน้าเราจะพาไปเดินที่「MAGOME JUKU」「มาโกะเมะจุกุ」ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวรีพีทเตอร์มาญี่ปุ่นอย่างรวดเร็วในช่วงนี้กัน