ถึงแม้ว่าประเทศญี่ปุ่นจะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหนาว และหลายๆ คนอาจมองภาพญี่ปุ่นที่สภาพอากาศเย็นสบายไม่ร้อนเหมือนประเทศไทยใช่หรือไม่ แต่หารู้ไม่ว่าช่วงฤดูร้อนของประเทศญี่ปุ่นก็ร้อนไม่แพ้ประเทศไทยเลยทีเดียว หรือบางครั้งอาจจะรู้สึกร้อนอบอ้าวกว่าประเทศไทยอีกด้วย
ดังนั้นวันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับ “ฤดูร้อนของประเทศญี่ปุ่น” ให้ลึกยิ่งขึ้นไปอีก ไปดูพร้อมๆ กันเลย
ฤดูร้อนของประเทศญี่ปุ่นจะอยู่ในช่วงครึ่งหลัง “เดือนมิถุนายน ไปจนถึงปลายเดือนกันยายน” ขึ้นอยู่กับในแต่ละพื้นที่ ความร้อนก็ไล่จากทางตอนใต้ไปทางเหนือ เช่นเดียวกับประเทศไทย
อย่างเช่นในปีนี้พ.ศ.2563 ช่วงเดือนสิงหาคม โอซาก้า มีวันที่อุณภูมิสูงสุดถึง 35-39 องศาเลยทีเดียว ซึ่งหากดูจากอุณภูมิแล้ว อาจไม่สูงเท่าประเทศไทย แต่ด้วยความที่ประเทศญี่ปุ่นมีความชื้นสูงโดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อน ทำให้รู้สึกร้อนอบอ้าว และเหนียวแหนะหนะเป็นพิเศษ เมื่อเหงื่อออกก็ไม่แห้งเพราะอากาศที่ชื้น ประกอบกับวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเดินเผชิญกับอากาศที่ร้อนอบอ้าว
ซึ่งในช่วงหน้าร้อนนี้คนญี่ปุ่นจะเฝ้าระวัง “โรคลมแดด” หรือ “เน็ตจูโช熱中症” เป็นพิเศษ เพราะมักจะเกิดขึ้นในช่วงหน้าร้อน ในบางครั้งอาจรุนแรงถึงแก่ชีวิตเลยทีเดียว
เท่านั้นไม่พอในปีนี้ยังมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ต้องใส่หน้ากากอนามัยท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้ ทำให้ญี่ปุ่นมุ่งรณรงค์ให้คนญี่ปุ่นเฝ้าระวังการเกิดโรคลมแดดอย่างเคร่งครัดเป็นพิเศษ
แต่ถึงแม้ว่าฤดูร้อนของญี่ปุ่นจะร้อนไม่แพ้ประเทศไทย และยังเป็นฤดูกาลที่ไม่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวไทยมากนัก แต่ช่วงฤดูร้อนนี้เองก็มีกิจกรรมพิเศษๆ เฉพาะช่วงนี้ที่หลายๆ คนตั้งตารออยู่เช่นกัน มีอะไรบ้างไปดูกันเลย!
“เทศกาลฤดูร้อน” ตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ยกตัวอย่างงานเทศกาลขนาดใหญ่ที่จัดขึ้นในช่วงหน้าร้อน
1. “เทศกาลเท็นจิน” หรือ “เท็นจินมัตสึริ Tenjin Festival” จัดขึ้นที่โอซาก้า ศาลเจ้าเท็นมังงู ในวันที่ 24-25 เดือนกรกฎาคม ประกอบไปด้วยพิธีกรรมต่างๆ มากมายทั้งเชิดสิงโต แห่ขบวนเทพเจ้า แห่เรือ หรือไฮไลท์อย่างงานดอกไม้ไฟกว่า 5,000 ลูกในค่ำคืนสุดท้ายของการจัดงาน มีผู้เข้าร่วมงานมากถึง 1 ล้าน 5 แสนคนเลยทีเดียว
2. “เทศกาลกิอง” หรือ “กิองมัตสึริ (祇園祭)” จัดขึ้นที่เกียวโต ศาลเจ้ายาซากะ ในวันที่ 1-28 เดือนกรกฎาคม เป็นเทศกาลเก่าแก่กว่า 1,100 ปี ที่จัดขึ้นยาวนานเกือบหนึ่งเดือน ใจกลางเมืองเกียวโต ขบวนแห่ยิ่งใหญ่ตระการตา มีผู้เข้าร่วมงานมากถึง 1 ล้าน 8 แสนคนเลยทีเดียว
3. “เทศกาลเนบูตะ” จัดขึ้นที่จังหวัดอาโอโมริ ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น ในวันที่ 2-8 เดือนสิงหาคม กับขบวนแห่โคมไฟที่ถูกตกแต่งให้เป็นรูปทรงต่างๆ ยิ่งใหญ่อลังการ พร้อมเต้นให้เข้ากับจังหวะตลอดการแห่ขบวน ซึ่งคนทั่วไปสามารถเข้าร่วมการแห่ขบวนได้อีกด้วย ในปีที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วมงานมากถึง 2 ล้าน 8 แสนคนเลยทีเดียว
4.และนอกจากนี้ยังมี “เทศกาลทานาบาตะ” หรือเป็นงานเทศกาลที่เกี่ยวกับดวงดาว จัดขึ้นทั่วประเทศญี่ปุ่น ซึ่งหลายๆ คนอาจรู้จักกันบ้างแล้ว โดยการเขียนพรลงบนประดาษและแขวนไว้ที่ต้นไผ่ โดยปกติแล้วจัดขึ้นในวันที่ 7 เดือนกรกฎาคม แต่หากนับให้ถูกต้องสำหรับปีนี้จัดขึ้นในวันที่ 25 เดือนสิงหาคม
และอีกหนึ่งกิจกรรมพิเศษสุดในช่วงฤดูร้อนก็คือ “งานดอกไม้ไฟ” หรือ “ฮานาบิไทไก” ที่จัดขึ้นในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศญี่ปุ่น ซึ่งงานเทศกาลดอกไม้ไฟของญี่ปุ่นจะจัดอย่างยิ่งใหญ่อลังการ จุดหลายพันลูกต่องาน ยาวนานกว่า 1-2 ชั่วโมง หรือหากเป็นงานขนาดใหญ่ก็อาจจุดพลุกว่าหมื่นลูกเลยทีเดียว
สำหรับงานเข้าชม มีทั้งแบบที่สามารถเข้าชมได้ฟรี หรือแบบซื้อตั๋วนั่งชมดอกไม้ไฟ หากเป็นแบบเข้าชมได้ฟรีก็อาจจะต้องรีบไปจองที่นั่งกันเร็วหน่อย หากต้องการที่ดีๆ หน่อยก็อาจจะต้องไปจองที่ก่อนเริ่มงานประมาณ 3-4 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ซึ่งในภาพเป็นที่นั่งชมดอกไม้ไฟแบบเสียค่าเข้าชม ในตำแหน่งที่สามารถเห็นพลุได้อย่างชัดเจน พร้อมเก้าอี้ ในบางแห่งอาจมาพร้อมกับแพคเกจอาหารเครื่องดื่ม เป็นต้น
ระหว่างการจัดงานก็จะมีร้านค้าแฝงลอยมากมายมาออกร้านตามงานดอกไม้ไฟต่างๆ กันอย่างคึกคัก
และในช่วงหน้าร้อนแบบนี้ สำหรับการแต่งกายมักสวม “ชุดยูกาตะ” (คล้ายชุดกิโมโนแต่เนื้อผ้าบางกว่า ไม่ซับซ้อน ใส่เฉพาะช่วงหน้าร้อน) ตามโอกาสต่างๆ อย่างเช่น
ใส่ชุดยูกาตะไปร่วมงานเทศกาลฤดูร้อน ไม่ว่าจะไปเป็นกลุ่มเพื่อน คู่รัก หรือครอบครัว ให้ได้บรรยากาศการมาเที่ยวงานเทศกาลหน้าร้อนมากยิ่งขึ้น
เที่ยวทะเลที่ญี่ปุ่น ทะเลญี่ปุ่นจะแตกต่างจากประเทศไทย ที่เปิดให้เล่นน้ำทะเลได้ตลอดทั้งปี (ยกเว้นกรณีพายุเข้า)แต่ที่ประเทศญี่ปุ่น จะเปิดให้เล่นน้ำทะเลเป็นช่วงเท่านั้น ในช่วงหน้าร้อน ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ อย่างเช่นทางตอนใต้สุดของญี่ปุ่นอย่างเกาะโอกินาว่า จะเปิดทะเลในเดือนเมษายน
ทางแถบคันไซและคันโต เปิดทะเลช่วงเดือนกรกฎาคม เป็นต้นไป
โดยในช่วงนี้ตามหาดต่างๆ ก็จะมีผู้ดูแลความปลอดภัยให้ผู้ใช้บริการได้เล่นน้ำแบบอุ่นใจ โดยจะเปิดให้เล่นประมาณ 1-2 เดือน ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่
ความพิเศษของช่วงฤดูร้อนอีกหนึ่งอย่างก็คือ กิจกรรมหน้าร้อนตามสวนสนุกอย่างเช่นที่ “ยูนิเวอร์ซัล สตูดิโอส์ เจแปน” หรือ USJ ในโอซาก้า ที่เมื่อเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนก็จะมีกิจกรรมพิเศษอย่าง Water Surprise Parade ที่เหล่าตัวการ์ตูนจะมาสาดน้ำคลายร้อนไปพร้อมๆ กันอย่างสนุกสนานคึกคัก ตามธีมต่างๆ ในแต่ละปี สนุกได้ตั้งแต่ผู้ใหญ่ไปจนถึงเด็กเลยทีเดียว
และนอกจากขบวนพาเรดสุดพิเศษแล้ว สินค้าที่จำหน่ายอยู่ก็จะมีสินค้าที่เข้ากับช่วงหน้าร้อนอย่างพัดลมลายน่ารักๆ ทั้งแบบปกติ และแบบพ่นไอน้ำ และแน่นอนว่าสินค้าช่วงหน้าร้อนแบบนี้ก็สามารถเอากลับไปใช้ที่ไทยต่อได้เก๋ๆ อีกด้วย
ถึงแม้ว่าฤดูร้อนจะเป็นฤดูที่ไม่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากนัก แต่เห็นแบบนี้แล้วฤดูนี้ก็มีความพิเศษและมีเสน่ห์ไม่แพ้ฤดูอื่นๆ เลยใช่ไหมคะ ยังไงก็ลองแพลนเที่ยวญี่ปุ่นฤดูร้อนดู และหากมาเที่ยวได้เมื่อไหร่ก็ลองลุยเที่ยวหน้าร้อนประเทศญี่ปุ่นกันเลย