เที่ยวด้วย Pass สุดคุ้ม
ของเราคือ รีวิวการท่องเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง
ติดตามรีวิวของแต่ละวันในทริป
พร้อมตารางการเดินทาง ค่าใช้จ่าย และ Pass ต่างๆ
Day1-1 เริ่มทริป! ออกเดินทางจากกรุงเทพ เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นจากสนามบินคันไซ เดินทางไปสู่ปราสาทฮิเมจิ
HYOGO-KYOTO-OSAKA-NARA
การท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นของนักท่องเที่ยวชาวไทยกว่า 30% เป็นการท่องเที่ยวใน “แถบคันไซ” ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวใน “โอซาก้า” ที่มีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพมหานคร, การท่องเที่ยวใน “เกียวโต” ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังต่างๆ มากมายทั้งอาราชิยามะ วัดคินคาคุจิ(วัดทอง) หรือศาลเจ้าฟุชิมิอินาริ เท่านั้นไม่พอยังสามารถท่องเที่ยว “นารา” เมืองเก่าทางประวัติศาสตร์ เรียกได้ว่าเพื่อนๆ สามารถเพลิดเพลินกับประเทศญี่ปุ่นได้หลากหลายรูปแบบในการท่องเที่ยวในแถบคันไซนั่นเอง
ซึ่งเที่ยวบินแบบบินตรงจากกรุงเทพไปยังคันไซจากที่มีเที่ยวบินวันละ 3 เที่ยว(ไปกลับ) ปัจจุบันได้มีรอบบินเพิ่มมากขึ้นเป็นวันละ 6 เที่ยว(ไปกลับ) เลยทีเดียว (ตั้งแต่เดือนมีนาคมจะถูกเพิ่มรอบ 7 เที่ยวไปกลับ) ซึ่งนักท่องเที่ยวก็จะเต็มเกือบทุกเที่ยวบินในช่วงวันหยุด โดยเฉพาะในช่วงตั้งแต่เดือนธันวาคม ไปจนถึงเดือนพฤษาคม
ดังนั้นในครั้งนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปท่องเที่ยว “คันไซ” เป็นเวลา 5 วัน 3 คืนกันค่ะ
โดยการท่องเที่ยวในครั้งนี้ เราจะใช้พาสสุดคุ้ม『KANSAI ONE PASS』
ซึ่งพาสเพียงหนึ่งใบนี้ เป็นพาสสุดคุ้มสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพื่อใช้ในการเดินทางคมนาคมขนส่งสาธารณะในคันไซ ยกตัวอย่างเช่น รถไฟ JR บริษัทรถไฟเอกชนต่างๆ รถไฟฟ้าใต้ดิน รถบัส ไปจนถึงเคเบิ้ลคาร์ โดย「KANSAI ONE PASS」นี้จะช่วยประหยัดเวลาในการซื้อตั๋วเดินทางในแต่ละครั้งออกไป
「KANSAI ONE PASS」นี้เป็นพาสสุดพิเศษสำหรับชาวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศญี่ปุ่น “เพื่อการท่องเที่ยว” เท่านั้น นอกจากจะสะดวกสบายแล้ว ยังสามารถท่องเที่ยวได้แบบคุ้มค่าอีกด้วย
「KANSAI ONE PASS」จะครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ในคันไซ โดยมีศูนย์กลางหลักๆ อยู่ที่ “โอซาก้า” นอกจากนี้ยังมี “เกียวโต”, “เฮียวโงะ(ที่มี โกเบ หรือ ฮิเมจิ)”, “นารา”, “วาคายาม่า” ที่มี “รถไฟแมวทามะ” หรือ “น้ำตกนาชิ”, “มิเอะ” ที่มี “ศาลเจ้าอิเสะ” หรือ “ชิงะ” ที่สามารถเพลิดเพลินกับวิวหิมะที่ขาวโพลนได้ในช่วงฤดูหนาวเป็นต้น
และพิเศษสุดๆ สำหรับพาสนี้ก็คือ การกำหนดอายุการในงาน คือหากซื้อแบบ 3000 เยน ก็สามารถใช้ได้เรื่อยๆ จนกว่าเงินที่เติมไปจะหมด เป็นแบบเดียวกับ IC Card ที่สามารถเติมเงินได้ที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ หรือเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วได้ สามารถใช้ได้ทุกครั้งที่กลับมาท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นเลยนั่นเอง
โดย「KANSAI ONE PASS」นี้จำหน่ายอยู่ที่ JR-WEST, บริษัทรถไฟเอกชนในคันไซ หรือ ส่วหนึ่งของเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วของรถไฟฟ้าใต้ดิน
ซึ่งในแถบคันไซเองก็มีบริษัทรถไฟอยู่มากมายเทียบเท่าหรือมากกว่าโตเกียว โดยหลักๆ จะอยู่ในโอซาก้า ซึ่งจะมีทั้ง “JR” “ฮังคิว” “ฮันชิน” “คินเท็ตสึ” “เคฮัง” “นันไค” “รถไฟซันโย” “รถไฟโกเบ” ฯลฯ อีกมากมาย
ยกตัวอย่างเช่น เส้นทางระหว่าง “โอซาก้า-เกียวโต” ก็จะมีบริษัทรถไฟวิ่งอยู่มากถึง 4 บริษัทคือ “JR” “ฮังคิว” “เคฮัง” และ “คินเท็ตสึ” ซึ่งแต่ละบริษัทก็จะแข่งขันกันทางด้านการบริการ ความเร็ว และค่าเดินทางนั่นเอง โดยการใช้「KANSAI ONE PASS」ในการเดินทางนี้จะทำให้เพื่อนๆ สามารถนั่งยานพาหนะเหล่านี้ได้อย่างสะดวกสบาย สามารถนั่งรถไฟแต่ละบริษัทเพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ได้ตลอดทริปเลยทีเดียว
ซึ่งข้อดีของการใช้พาส「KANSAI ONE PASS」ก็คือ เพื่อนๆ สามารถรับส่วนลดตามสถานที่ต่างๆ ในคันไซ ได้มากมายหากแสดงพาสนี้
『สถานที่รับข้อเสนอดีๆ จาก KANSAI ONE PASS』
แน่นอนว่าเพื่อนๆ จะได้รับข้อเสนอดีๆ ต่างๆ มากมายกว่า 200 แห่ง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร หรือเครื่องเล่นต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น “เกียวโตทาวเวอร์” หรือ “Abeno Harukas” ตึกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นเป็นต้น
โดยการเดินทางจากกรุงเทพมหานครไปยังคันไซจะมีเที่ยวบินไปกลับอยู่ทั้งหมด 6 รอบต่อวัน ซึ่งในครั้งนี้เราจะเลือกเดินทางกับสายการบินไทยในเที่ยวบินรอบดึกค่ะ ในส่วนของชั้น Economy Class ของการบินไทยจะอยู่ที่เคาน์เตอร์ H/J ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เฉพาะบางเที่ยวบินที่บินดึกไปญี่ปุ่น และเกาหลีที่เป็นช่วงเวลาคนเยอะ อาจทำการเช็คอินอยู่ที่ช่อง C ตั้งแต่เวลา 21 นาฬิกาเป็นต้นไป
หากทำการเช็คอินจากเครื่องเช็คอินอัตโนมัติเพื่อเลือกที่นั่ง แบบปริ้นท์ตั๋วเครื่องบินก่อน ก็สามารถต่อแถว「BagDrop」ที่สั้นกว่าได้เลย ถ้าใครถนัดเครื่องเช็คอินก็ใช้บริการเลยนะคะ
เที่ยวบินของ TG ส่วนใหญ่มักจะออกจากโซน C หรือ E ซึ่งเมื่อผ่านตม.มาแล้วก็อาจต้องใช้เวลาเดินทางไปที่เกทประมาณ 7-15 นาทีเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นรีบเดินไปที่เกทไว้ก่อนเลยก็ดีนะคะ
โดยเที่ยวบินรอบดึกที่บินตรงไปยังท่าอากาศยานนานาชาติคันไซจะใช้เครื่องบินใหม่ล่าสุด A350 บริเวณเพดานที่นั่งผู้โดยสารยกสูงในบรรยากาศที่ปลอดโปร่ง อีกทั้งยังสามารถเก็บสัมภาระได้มากมายอีกด้วย
โดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อเดินทางด้วยเครื่องบินอากาศภายในเครื่องก็จะแห้ง แต่ภายในเครื่องบินรุ่นใหม่ A350 จะมีระบบปรับความชื้นในตัวอยู่ที่ 20% เท่ากับภาคพื้นดินจึงไม่ทำให้รู้สึกอากาศแห้งเลยค่ะ และเมื่อเดินทางออกจากกรุงเทพมาเป็นเวลา 5 ชั่วโมงครึ่ง ตอนนี้เราก็เดินทางมายังท่าอากาศยานนานาชาติคันไซเป็นที่เรียบร้อย ท้องฟ้าในฤดูหนาวของประเทศญี่ปุ่นปลอดโปร่งมากๆ
ซึ่งในช่วงเช้าของสนามบินคันไซนั้นนอกจากเที่ยวบินจากกรุงเทพทั้งหมด 4 เที่ยวบินแล้ว (TG・JAL・AirAsiaX・NokScoot) ก็ยังมีเที่ยวบินจากที่อื่นๆ อีกมากมายทั้งจากแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเวียดนามหรือสิงคโปร์ นอกจากนี้ยังมีเที่ยวบินจากยุโรปทั้งปารีส หรือ มิวนิก ทำให้ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวคึกคักเป็นพิเศษ หากเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว ขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองได้เพิ่มเคาน์เตอร์มากขึ้นและทำให้สามารถผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองได้รวดเร็วมากขึ้นอาจจะไม่ต้องรอนานเกินหนึ่งชั่วโมงเหมือนเมื่อก่อนเลยค่ะ
โดยท่าอากาศยานนานาชาติคันไซจะมีประตูทางออกผู้โดยสารขาเข้าอยู่ 2 ประตูคือ “เหนือ” และ “ใต้” สำหรับสายการบินไทยจะออกจากประตู “ใต้” ค่ะ เฉพาะฉะนั้นหากเพื่อนๆ นัดใครไว้ก็สามารถแจ้งฝั่งประตูทางออกไว้ได้เลยเพื่อความสะดวกสบายนะคะ
บริเวณใกล้เคียง ประตูทางออกผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ “ฝั่งใต้” จะมีทั้งส่วนเครื่องจำหน่ายซิมมือถืออัตโนมัติ เคาน์เตอร์เช่าไวไฟเราเตอร์ หรือจุดให้บริการข้อมูลการท่องเที่ยว เป็นต้น และที่สำคัญคือร้านกาแฟต่างๆ อย่างเช่น STARBUCKS อยู่อีกด้วย
ก่อนอื่นเราจะไปซื้อพาสคู่ใจในทริปนี้ของเรากับพาส「KANSAI ONE PASS」กันก่อนเลย โดยเราจะต้องมุ่งหน้าไปยัง「JR Ticket Office」ที่สถานีรถไฟสนามบินที่อยู่ตึกข้างๆ สนามบินกันก่อนเลย โดยออกจากประตูทางออกผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศทางฝั่ง “ใต้” ไป จากนั้นก็เดินเยื้องไปทางซ้ายมือเพื่อขึ้นบันไดเลื่อน ไปที่ชั้น 2F จากนั้นเมื่อขึ้นไปแล้วก็เดินออกจากประตูทางออกที่อยู่ทางขวามือเลย และเดินข้ามสะพานระหว่างตึกไปที่สถานีรถไฟท่าอากาศยานนานาชาติคันไซเพื่อไปที่ลานจุดนัดพบสถานีกันเลย เมื่อถึงแล้วที่อยู่ทางด้านซ้ายมือในสุดก็คือเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว「JR Ticket Office」ป้ายสีน้ำเงิน
「KANSAI ONE PASS」นี้สามารถหาซื้อได้ตามเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วของสถานีต่างๆ ทั้งเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วรถไฟของท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ หรือ ในโอซาก้า เกียวโต เฮียวโงะ เป็นต้น แต่จุดที่น่าจะสะดวกมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วของท่าอากาศยานนานาชาติคันไซเลยค่ะ
JR Ticket Office ที่สนามบินคันไซจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ หากต้องการซื้อตั๋วรถไฟทั่วไปแบบปกติก็จะต้องไปที่เคาน์เตอร์ทางฝั่งสีเขียว ส่วนหากต้องการซื้อ Rail Pass หรือพาสต่างๆ สำหรับนักท่องเที่ยวก็จะต้องไปที่เคาน์เตอร์ทางฝั่งสีน้ำเงิน ดังนั้น「KANSAI ONEPASS」นี้จะจำหน่ายอยู่ที่เคาน์เตอร์ทางฝั่งสีน้ำเงินนั่นเอง
โดยสามารถพูดกับพนักงานว่า
「KANSAI ONEPASS WO KUDASAI」
「คันไซ วันพาส โอะ คุดาไซ」(แปลว่า ขอซื้อ KANSAI ONEPASS ครับ/ค่ะ)
จากนั้นก็ชำระเงิน 3000 เยน พร้อมแสดงหนังสือเดินทางเท่านั้น โดยเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วจะเปิดให้บริการตั้งแต่เช้าเวลา 5:30 ไปจนถึง 23:00 น. ซึ่งถือว่าสามารถรองรับเที่ยวบินที่เดินทางมายังท่าอากาศยานนานาชาติคันไซได้เกือบทั้งหมด แต่ในส่วนเที่ยวบินรอบดึกของสายการบิน แอร์เอเชีย X (ถึง 21:55)อาจจะถึงกระชันชิดกับเวลาปิดให้บริการเล็กน้อย เพราะฉะนั้นหากถึงสนามบินแล้วให้รีบไปที่เคาน์เตอร์ก่อนเลยนะคะ
เมื่อซื้อ「KANSAI ONE PASS」เรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางไปที่หมายแรกที่ “ปราสาทฮิเมจิ”「HIMEJI CASTLE(姫路城)」กันก่อนเลย โดยการเดินทางจาก “สนามบินคันไซ” ไปยัง “ปราสาทฮิเมจิ” นั้นจะมีวิธีการเดินทางอยู่ทั้งหมด 3 วิธีดังนี้
1. เดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ ด้วย “
2.เดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ ด้วย “รถไฟด่วนพิเศษฮารุกะ”「Airport Express HARUKA」ไปยังสถานีชินโอซาก้า จากนั้นนั่ง「SANYO SHINKANSEN」เดินทางไปยัง สถานีฮิเมจิ
3.เดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ ด้วย “ลีมูซีนบัส” มุ่งตรงไปยังสถานีฮิเมจิ
ถึงแม้ว่าจะมีการเดินทางอยู่หลายวิธี แต่เราจะเลือกเดินทางด้วยวิธีที่ 1 คือนั่งรถไฟ Kansai Airport Rapid Service และ Special Rapid Service ไปยังสถานีฮิเมจิกันค่ะ
โดยเราจะผ่านเข้าช่องตรวจตั๋วจากช่องตรวจตั๋วฝั่งสีน้ำเงินที่อยู่ตรงข้ามเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว เพื่อไปที่ชานชาลาของสถานีท่าอากาศยานนานาชาติคันไซของรถไฟ JR กันเลยค่ะ ซึ่งรถไฟด่วน Kansai Airport Rapid Service ที่เชื่อมระหว่างสนามบินคันไซ และในตัวเมืองโอซาก้า จะวิ่งชั่วโมงละ 3-4 เที่ยว และใช้เวลาในการเดินทางไปยังสถานีโอซาก้าประมาณ 70 นาทีค่ะ
รถไฟด่วน Kansai Airport Rapid Service นี้จะเป็นรถไฟที่มี 3 แถวมีพื้นที่ส่วนกลางกว้างขวางสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีกระเป๋าเดินทางเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเราจะใช้เวลาเดินทาง 70 นาที ระหว่างทางก็จะได้เห็นตึกสูง 300 เมตรที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น “Abeno Harukas” หรือ สเตเดียมขนาดใหญ่ “เคียวเซร่าโดม” เดินทางแปปเดียวเท่านั้นก็ถึง “สถานีโอซาก้า” เลย
ซึ่งการเดินทางจากสถานีโอซาก้าไปยังสถานีฮิเมจินนั้น เราจะเดินทางด้วย「Special Rapid Service : 新快速電車」กันค่ะ ซึ่งจะออกจากชานชาลาหมายเลข 5
โดยรถไฟที่นั่งมาจากท่าอากาศยานนานาชาติคันไซจะมาจอดที่ชานชาลาหมายเลข 2 เพราะฉะนั้นเมื่อลงจากรถไฟแล้วก็ขึ้นบันไดเลื่อนที่อยู่ภายในชานชาลาไปที่สะพานทางเดินข้ามไปยังช่องตรวจตั๋ว เมื่อเดินไปซักพักก็จะเจอทางลงไปสู่ชานชาลาหมายเลข 5・6 อยู่ทางขวามือ ลงบันไดเลื่อนไปที่ชานชาลากันเลย
เมื่อลงมาที่ชานชาลาแล้วก็นั่งรถไฟ「Special Rapid Service : 新快速電車」ที่ออกตัวจากชานชาลาหมายเลข 5 ที่อยู่ขวามือเลย ซึ่งรถไฟนี้จะวิ่งทุกๆ 15 นาที และใช้เวลาในการเดินทาง 60 นาที ซึ่งที่ชานชาลาเดียวกันนี้นอกจากรถไฟ Special Rapid Service แล้วยังมีรถไฟด่วนวิ่งอยู่ด้วย ถึงแม้ว่ารถไฟชนิดนี้ก็สามารถเดินทางไปที่สถานีฮิเมจิได้เช่นกัน แต่จะต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 90 นาที ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางนานกว่า เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ก็นั่ง「Special Rapid Service : 新快速電車」ดีกว่านะคะ
เดินทางออกจากโอซาก้ามาซักพักก็จะวิ่งผ่านวิวย่านบ้านพักอาศัย และโรงงาน รอบนอกเมืองโอซาก้า เมื่อออกจากโอซาก้ามาประมาณ 30 นาที และออกจากสถานีโกเบแล้วก็จะวิ่งผ่าน “เกาะอาวาจิ”「AWAJISHIMA(淡路島)」ที่ลอยอยู่บนอ่าวโอซาก้าอยู่ทางด้านซ้ายมือ พร้อม “สะพานอาคาชิไคเคียวโอฮาชิ”「AKASHI KAIKYO OHASHI(明石海峡大橋)」ที่เชื่อมระหว่างเกาะหลัก และเกาะอาวาจิ ที่มีความยาวถึง 4km กิโลเมตร และถือเป็นสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ เมื่อมาถึง “สะพานอาคาชิไคเคียวโอฮาชิ” แล้ว ก็ใช้เวลาเดินทางไปยัง “ฮิเมจิ” อีกเพียง 30 นาทีเท่านั้น ก็เดินทางมาถึง “ฮิเมจิ” ที่อยู่ห่างจากโอซาก้าถึง 88 กิโลเมตรเลย
เมื่อเดินทางมาถึงสถานีฮิเมจิแล้ว ก็ลงบันไดหรือบันไดเลื่อนที่อยู่ภายในชานชาลาไปทาง「CENTRAL EXIT」กันเลย เมื่อออกจากประตู CENTRAL EXIT ไปแล้วก็เดินไปทางขวามือเพื่อออกจากอาคารสถานีจาก「HIMEJI CASTLE EXIT」และเดินตรงไปเรื่อยๆ ก็จะเจอ「ชิราซากิโจ(白鷺城)」ที่เป็นชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งของ “ปราสาทฮิเมจิ”「HIMEJI CASTLE(姫路城)」นั่นเอง
“ปราสาทฮิเมจิ” ที่ถือเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เพิ่’ได้รับการปรับปรุงใหม่ที่ใช้เวลาในการปรับปรุงนานหลายปีตั้งแต่ปีพ.ศ.2558 จนสวยงามอีกครั้ง “ปราสาทฮิเมจิ” ที่ยิ่งใหญ่และสวยงามแห่งนี้เป็นปราสาทที่ถูกใช้เป็นฉากในภาพยนตร์ต่างๆ มากมายเลยอีกด้วย
ในครั้งต่อไปเราจะพาเพื่อนๆ เที่ยวชม “ปราสาทฮิเมจิ” และทานอาหารขึ้นชื่อของฮิเมจิกับเมนู “ฮิเมจิโซบะ : 姫路そば” เป็นอาหารกลางวันกันค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะ
【ตารางการเดินทาง Day1-1 KANSAI AIRPORT/HIMEJI STATION】