นักท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปี จากในปีพ.ศ.2554
ที่มีนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นเพียง 1 แสน 4 หมื่นคนเท่านั้น ก็ได้เพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้าน 1
แสน 3 หมื่นคน นั่นหมายความว่ามีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นถึง 1 ล้านคนใน 7 ปีเลยทีเดียว
ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มาเที่ยวญี่ปุ่นก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้เที่ยวบินต่างๆ
จากประเทศไทยก็มีเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
แค่เพียงเที่ยวบินที่เชื่อมระหว่าง “กรุงเทพ” ที่มีอยู่ 2 สนามบิน(สนามบินดอนเมือง และ
สนามบินสุวรรณภูมิ) กับ “โตเกียว” ที่มีอยู่ 2 สนามบิน(สนามบินฮาเนดะ และ สนามบินนาริตะ)
ของสายการบินไทย TG เท่านั้นก็มีเที่ยวบินไปกลับวันละมากถึง 6 รอบเลยทีเดียว
ส่วนสายการบินญี่ปุ่น ANA ก็มีเที่ยวบินไปกลับวันละมากถึง 5 รอบ รวมๆ
ทั้งหมดแล้วก็ประมาณวันละมากกว่า 20 รอบไปกลับเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเที่ยวบินระหว่างประเทศ
กรุงเทพ-โตเกียว มีรอบบินมากพอๆ กับเที่ยวบินภายในประเทศไปเชียงใหม่เลยนั่นเอง
โดยเฉพาะสายการบินราคาประหยัดอย่าง “สายการบินแอร์เอเชีย X” “สายการบินนกสกู๊ต” หรือ
“สายการบินไทยไลอ้อนแอร์” ที่เมื่อลดราคาแล้วก็อาจจะได้บินไปโตเกียวแบบไปกลับในราคาไม่ถึง
10,000 บาท(รวมภาษี) เลยทีเดียว
จากตอนนี้ไปเป็นจำนวนทั้งหมด 3 ตอน จะเป็นการพูดถึงสายการบินราคาประหยัดที่เชื่อมระหว่าง
ไทย-ญี่ปุ่น มาให้คุณได้เปรียบเทียบกัน ซึ่งในตอนที่ 2 นี้เราจะพูดถึง “นกสกู๊ต” ที่มีการตกแต่งเครื่องบินที่เป็นเอกลักษณ์
และในตอนนี้เราจะมาพูดถึง “สายการบินนกสกู๊ต” กัน โดยเที่ยวบินไปสู่ญี่ปุ่นของสายการบินนกสกู๊ตจะมีดังนี้ เที่ยวบินไปกลับสนามบินนาริตะที่โตเกียววันละ 2 รอบ และเที่ยวบินไปกลับสนามบินคันไซวันละ 1 รอบ รวมเป็นเที่ยวบินไปกลับระหว่างประเทศญี่ปุ่นทั้งหมด 3 รอบไปกลับ และมีแผนว่าจะเพิ่มเที่ยวบินมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยสายการบินนกสกู๊ตนี้ก็จะถูกแบ่งออกเป็นสองแบบก็คือ เที่ยวบินของ “สายการบินนกสกู๊ต” เอง และ “สกู๊ต” ของสิงคโปร์ ซึ่งในส่วนของ “สกู๊ต” จะใช้เครื่องบินลำใหญ่รุ่นล่าสุด B787
ซึ่งการจองตั๋วเครื่องบินของสายการบินนกสกู๊ตหลักๆ แล้วจะต้องจองผ่านทางเว็บไซต์
วิธีการจองก็ไม่ยากเพียงแค่คุณกรอก “สถานที่ต้นทาง” และ “สถานที่ปลายทาง” จากนั้นก็เลือกวันเดินทางเท่านั้น
โดยราคาตั๋วของสายการบินสกู๊ตก็จะมีราคาพอๆ กับสายการบินแอร์เอเชียคือ
ช่วงเวลาปกติราคาตั๋วเครื่องบินระหว่างประเทศไทศและประเทศญี่ปุ่นจะอยู่ที่ราคาไปกลับประมาณ 10,000 บาท แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงลดราคาคุณก็สามารถเดินทางไปกลับประเทศญี่ปุ่นได้ในราคาประมาณ 6,000-7,000 บาทเท่านั้นอีกด้วย
แต่ทว่าในส่วนน้ำหนักในการฝากสัมภาระ อาหารบนเครื่อง หรือการจองที่นั่งก็จะไม่ได้ถูกรวมอยู่ในราคาตั๋วเหมือนกับสายการบินไทย หรือสายการบินญี่ปุ่นแบบปกตินั่นเอง
สำหรับการถือสัมภาระขึ้นเครื่องจะต้องมีขนาดไม่เกิน 54x38x23cm + กระเป๋าคอม 1 ชิ้น จำนวนกระเป๋าเหมือนกับสายการบินแอร์แอร์เชีย แต่น้ำหนักรวมที่สามารถนำขึ้นเครื่องได้นั้นของแอร์เอเชียจะอยู่ที่ 7 กิโลกรัม แต่ “สกู๊ต” จะอยู่ที่ 10 กิโลกรัม ซึ่ง 3 กิโลกรัมก็ถือว่าค่อยข้างเยอะเลยทีเดียว
ส่วนสัมภาระที่ต้องการโหลดใต้ท้องเครื่องสามารถซื้อล่วงหน้าได้ตอนซื้อตั๋วเลย หากทำการซื้อน้ำหนักสัมภาระเอาไว้ก่อนราคาก็จะอยู่ที่ประมาณ 800-1200 บาท หากมาจัดการน้ำหนักสัมภาระก่อนเดินทางทันทีก็อาจจะต้องจ่ายค่าน้ำหนักสัมภาระในราคาที่แพงกว่ามากๆ เลยทีเดียว
“สายการบินสกู๊ต” นั้น ในกรณีของเครื่อง B787 จะเป็นที่นั่งแบบ 3-3-3 รวมเป็น 9 แถว ส่วนของ “นกสกู๊ต” นั้นจะใช้เครื่อง B777 ที่มี 3-4-3 แถว รวมเป็น 10 แถว เพราะฉะนั้นจึงสามารถนั่งเครื่องบินได้ในบรรยากาศเดียวกับสายการบินโดยทั่วไปเลยค่ะ
ซึ่งระบบที่นั่งก็จะเป็นแบบเดียวกับสายการบินแอร์เอเชียเลยก็คือ หากไม่ได้จองที่นั่งล่วงหน้าในบางกรณีก็อาจจะถูกจัดที่นั่งอยู่กระจัดกระจายห่างกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วหากมาเป็นกลุ่มถ้าที่นั่งว่างก็จะได้นั่งด้วยกันเลย แต่สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางคนเดียวก็อาจจะถูกจัดไปนั่งที่นั่งบริเวณตรงกลางเลยนั่นเอง แต่หากต้องเลือกที่นั่งทีหลัง ก็สามารถเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเพื่อเลือกที่นั่งใหม่ได้เลย
ภายในเครื่องของ AirAsia X จะไม่มีจอมอนิเตอร์
ในกรณีของเครื่อง B787 จะมีบริการเสริมที่สามารถจ่ายเพิ่มเพื่อใช้บริการปลั๊กไฟ หรือ บริการ WIFI ภายในเครื่องได้อีกด้วย
ในส่วนของปลั๊กไฟจะอยู่ที่ประมาณ 200 บาท และสำหรับบริการ WIFI จะอยู่ที่ 350 บาท(แต่ละบริการจะต้องชำระด้วยสิงคโปร์ดอลล่า) ภายในเครื่องบินเลย เพื่อจะได้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต หรือชาร์ตแบตมือถือสมาร์ทโฟน หรือแท็บแล็ตได้ระหว่างการเดินทางเลยทีเดียว
โดย “นกสกู๊ต” หรือ “สกู๊ต” นั้นจะมีส่วนที่นั่งแบบ Bussiness Class ที่เรียกว่า SCOOT BIZ อยู่ประมาณ 21-30 ที่นั่ง(ขึ้นอยู่กับแต่ละเที่ยวบิน) โดยปกติแล้วแถวที่นั่งทั่วไปก็จะอยู่ที่จำนวน 3-3-3 แถว ในเครื่องบิน B787 แต่สำหรับส่วน SCOOT BIZ จะเป็นที่นั่ง 2-3-2 แถว รวมเป็น 7 แถวเท่านั้น คุณจะได้เดินทางแบบที่มากกว่า Bussiness Class ของ ANA JAL หรือ TG แต่จะได้นั่งในบรรยากาศ Premium Economy ที่กว้างขวาง ไม่ต้องกังวลคนข้างๆ นอกจากนี้ยังมีส่วนพักขาให้ได้นั่งแบบสบายๆ ระหว่างการเดินทางอีกด้วย
เท่านั้นไม่พอยังมีบริการต่างๆ อีกมากมาย ทั้งบริการปลั๊กไฟ, บริการ Wifi หรือ TV แบบฟรีๆ ส่วนน้ำหนักกระเป๋าที่สามารถโหลดได้ก็จะอยู่ที่ 30 กิโลกรัม โดยค่าเดินทางในส่วนนี้ก็จะอยู่ที่ประมาณ 25,000 บาท ซึ่งจะได้นั่งที่นั่งที่สบายกว่า และกว้างกว่าในราคาเท่ากับที่นั่งแบบธรรมดา Economy Class ของสายการบิน TG หรือ ANA เลยทีเดียว
ในกรณีที่คุณจองแบบ「BID SCOOT BIZ」เมื่อมีที่นั่งว่าง จะมีอีเมลแจ้งจากทาง BID FOR SCOOT BIZ」ก่อนวันเดินทางเพียงไม่กี่วัน โดยสามารถทำการอัพเกรดที่นั่งในเที่ยวบินระหว่างกรุงเทพ และญี่ปุ่น ด้วยระบบประมูลขายเริ่มต้นอย่างน้อย 2500 บาท
ซึ่งเมื่อการดำเนินการอัพเกรดที่นั่งได้แล้ว สำหรับการจอง SCOOT BIZ ก็จะได้รับน้ำหนักโหลดกระเป๋า 30 กิโลกรัม อาหาร 1 มื้อ และได้มีสิทธิ์ในการขึ้นเครื่องบินก่อน โดยเพิ่มเพียง 2500 บาทเท่านั้นก็จะได้นั่งที่นั่งแบบสบายๆ ของ SCOOT BIZ เลยทีเดียว
ในวันนี้เราได้พูดถึงสายการบินราคาประหยัด “สกู๊ต” / “นกสกู๊ต” กันไปซึ่งเป็นสายการบินที่มีกที่ยวบินไปกลับ นาริตะ และ คันไซ รวมเป็น 3 รอบต่อวัน นอกจากคุณจะได้นั่งเครื่องบิน B787/777 แล้วยังสามารถใช้บริการเสริมใหม่ล่าสุดอย่าง บริการ WIFI และ ปลั๊กไฟเสียบชาร์ต เท่านั้นไม่พอยังสามารถเลือกนั่งแบบ Bussiness Class กับ「SCOOT BIZ」ได้อีกด้วย เป็นสายการบินราคาสุดคุ้มที่มีแผนว่าจะเพิ่มรอบบิน และสนามบินปลายทางเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ยังไงลองเลือกใช้บริการกันดูได้เลย และในตอนหน้าตอนที่ 3 เราจะมาพูดถึง “สายการบินไทยไลอ้อนแอร์” กัน แล้วพบกันใหม่ในตอนหน้า♪