วันเวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และตอนนี้ก็ใกล้เข้าสู่ช่วงฤดูหนาวที่แท้จริงของประเทศญี่ปุ่น ที่สามารถสัมผัสความหนาวเย็น และ “หิมะ” ได้ตามสถานที่ต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น เพื่อเปิดประสบการณ์ที่ไม่สามารถสัมผัสได้ในประเทศไทย ซึ่งสิ่งที่ไม่ควรพลาดในช่วงฤดูหนาวของประเทศญี่ปุ่นอย่างหนึ่งก็คือ「อาหารในช่วงฤดูหนาว」
ครั้งนี้จะเป็นการพูดถึงอาหารที่สามารถทานได้ในช่วงฤดูหนาวตามพื้นที่ต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น พร้อมวิธีการทาน และ แหล่งขึ้นชื่อ ไปดูกันเลย
อย่างแรกเลยก็คือ “ปู” หรือภาษาญี่ปุ่นอ่านว่า “คานิ” ช่วงเวลาที่สามารถตกปูได้นั้นจะอยู่เฉพาะช่วงวันที่ 6 พฤศจิกายน ไปจนถึง 20 มีนาคมของปีถัดไป เพราะฉะนั้นเราสามารถทานปูสดใหม่ได้เฉพาะช่วงฤดูหนาวเท่านั้น จึงถือได้ว่า “ปู” เป็นอาหารประจำฤดูหนาวเลยก็ว่าได้ ซึ่งเมื่อเทียบ “ปู” ในประเทศญี่ปุ่น และประเทศไทยแล้ว จะเห็นได้ชัดว่ามีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ทั้งขนาด และความยาวของขา ที่เอกลักษณ์ของปูญี่ปุ่นคือ ขาปูที่ยาวมากๆ โดยชนิดของปูนั้นก็มีอยู่มากมาย แต่ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากก็คือ “ปูหิมะ ZUWAI GANI(ズワイガニ)” และ ““ปูยักษ์อลาสก้า Red king crab(タラバガニ) ” นั่นเอง
โดยที่ “ปูยักษ์อลาสก้า”「Red king crab(タラバガニ)」นั้นจะเป็นปูประจำพื้นที่ทางตอนเหนือของเกาะฮอกไกโด มีขาอยู่ 4 คู่ 8 ข้าง มีกระดองที่ใหญ่ และมีหนามที่แหลมใหญ่ มีเนื้อขาวๆ ใสๆ แต่ก็เหนียวนุ่ม ส่วน “ปูหิมะ”「ZUWAI GANI(ズワイガニ)」นั้นจะมีความแตกต่างจากปูยักษ์อลาสก้าคือ จะมีกระดองที่เล็กกว่า และมีหนามเล็กๆ ส่วนขาจะมีอยู่ 5 คู่ 10 ข้างเรียวๆ ซึ่งจะเป็นปูที่มีรสชาติปูที่เข้มข้นชัดเจน และมีความหวานเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าปูชนิดไหนๆ ก็เป็นปูที่สามารถหาทานได้ในช่วงฤดูหนาว แต่ปูที่สามารถตกได้ทั่วประเทศและมีความคุ้นเคยกับคนญี่ปุ่นมากกว่าก็คือ “ปูหิมะ”「ZUWAI GANI(ズワイガニ)」นั่นเอง ซึ่งชื่อเรียกของปูก็จะแตกต่างกันออกไปตามพื้นที่ที่ตกได้ อย่างเช่น “ปูมัตสึบะ”「MATSUBA(松葉ガニ)」หรือ “ปูเอจิเซนECHIZEN GANI(越前ガニ)” เป็นต้น
ปูญี่ปุ่นจะมีวิธีการทานที่หลากหลาย ซึ่งวิธีการทานที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากก็คือ “ปูย่าง” “หม้อไฟปู” หรือ “ปูชาบู” โดยการทานแบบ “ปูย่าง” จะเป็นวิธีการที่สามารถเพลิดเพลินกับรสชาติความหอมที่อัดแน่น สามารถหาทานได้ไม่ยากอย่างเช่นที่ตลาดปลายอดนิยมต่างๆ และหากต้องการเพลิดเพลินกับเมนูปูแบบจริงจัง แนะนำเป็น “หม้อไฟปู” (ภาษาญี่ปุ่น : カニ鍋 อ่านว่า : คานินาเบะ) และ “ปูชาบู” (ภาษาญี่ปุ่น : カニしゃぶ อ่านว่า “คานิชาบู”) ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นนิยมทานคู่กับซอสพอนซึ(รสเปรี๊ยว) หรือ ซอสโชยุ(รสเค็ม) แต่ถ้ามีน้ำจิ้มซีฟู้ดมาด้วยคงดีมากๆ เพราะฉะนั้นหากคุณมีแพลนไปทานปูที่ญี่ปุ่นก็สามารถพกน้ำจิ้มโปรดของคุณไปด้วยก็ไม่เลวเลย
“ปู” ที่ถือได้ว่าเป็นอาหารประจำฤดูหนาวของประเทศญี่ปุ่น ส่วนใหญ่แล้วจะสามารถตกได้บริเวณแถบทะเลญี่ปุ่น โดยเฉพาะ บริเวณคิโนะซากิ ในจังหวัดเฮียวโงะ, คาบสมุทรทังโกะในเกียวโต และ จังหวัดฟูกุอิ จะเป็นพื้นที่ที่สามารถตกปูได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งปูที่ตกได้ในพื้นที่ “คิโนะซากิ” จะถูกเรียกว่า “คิโนะซากิคานิ”「KINOSAKI GANI(城崎ガニ)」
ปูที่ตกได้ในพื้นที่ “คาบสมุทรทังโกะ” จะถูกเรียกว่า “ไมซูรุคานิ”「MAIZURU GANI(舞鶴ガニ)」
ส่วนปูที่ตกได้ในพื้นที่ “จังหวัดฟุกุอิ” จะถูกเรียกว่า “เอจิเซนคานิ”「ECHIZEN GANI (越前ガニ)」
จนเกิดเป็นแบรนด์ปูในพื้นที่ต่างๆ ดังนั้นในพื้นที่ต่างๆ ที่จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะในช่วงฤดูหนาวก็จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาทานอาหารประจำฤดูหนาวอย่างเมนู “ปู” กันเป็นจำนวนาก ซึ่งในพื้นที่ “คิโนะซากิ” สามารถเดินทางจากโอซาก้า ส่วนจังหวัดฟูกุอินั้นสามารถเดินทางจาก โอซาก้า หรือ นาโกย่า ด้วยรถไฟได้ภายในเวลา 2 ชั่วโมงถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง เดินทางไปทาน “ปู” ได้ไม่ยากเลย
อาหารชนิดต่อไปก็คือ “หอยนางรม” หรือภาษาญี่ปุ่นอ่านว่า “คาคิ” ในช่วงเดือนมกราคม ไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ถึงแม้ว่าหอยนางรมจะเป็นวัตถุดิบที่คนไทยเองก็คุ้นเคยกันดี แต่หอยนางรมในประเทศญี่ปุ่นจะมีความเป็นเอกลักษณ์และแตกต่างทั้งเนื้อขนาดใหญ่ และรสชาติที่เข้มข้น ถึงแม้ว่าหอยนางรมจะถูกจำหน่ายในช่วงตั้งแต่เดือนตุลาคม ไปจนถึงเดือนพฤษภาคม แต่ในช่วงต้นปีตั้งแต่เดือนมกราคม ไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ จะเป็นช่วงที่หอยนางรมกักตุนไกลโคเจนที่เป็นฐานความอร่อยของหอยนางรมเอาไว้ในร่างกายมากที่สุด ซึ่งหอยนางรมนั้นเป็นวัตถุดิบที่อัดแน่นไปด้วยสารอาหารมากมายจนถูกขนานนามว่าเป็น “น้ำนมแห่งทะเล” ที่มีทั้งกรดอะมิโน ตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของตับ อีกทั้งยังช่วยป้องกันอาการเมาค้างได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีวิตามิน B ที่มีส่วนช่วยเรื่องผิวภัณฑ์ และความเหนื่อยล้า เรียกได้ว่าทั้งอร่อยและยังได้ประโยชน์อีกด้วย
วิธีการรับประทานหอยนางรมในประเทศญี่ปุ่นก็มีอยู่หลากหลายวิธี ทั้งเมนูหอยนางรมทอด หรือ หอยนางรมย่าง ที่เป็นวิธีรับประทานแบบทั่วไป ซึ่งวิธีการรับประทานที่กำลังได้รับความนิยมก็คือร้าน “กระท่อมหอยนางรม”「KAKIGOYA(牡蠣小屋)」(อ่านว่า คาคิโกยะ) ที่หาทานได้เฉพาะช่วงฤดูหนาวในบริเวณพื้นที่ติดทะเล ที่สามารถเพลิเพลินกับเมนูหอยนางรมได้ทั้งแบบบุฟเฟต์ หรือเมนูดัดแปลงใหม่ต่างๆ หรือเป็นร้านที่ตั้งอยู่ในพื้นที่วิวสวยๆ เป็นต้น
“หอยนางรม” หรือ “คาคิ” ที่สามารถตกได้ทั่วประเทศญี่ปุ่นนั้น พื้นที่ขึ้นชื่อของการตกหอยนางรมก็คือพื้นที่ “โทบะ”「TOBA(鳥羽)」ที่อยู่ในบริเวณอิเสะ-ชิมะ ที่มี “ศาลเจ้าอิเสะ”「ISE JINGU(伊勢神宮)」ทางเดินเข้าศาลเจ้า「OHARAIMACHI(おはらい町)」และ ชายฝั่งที่สวยงาม
ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของ “โทบะ” นั้นมีทั้ง “พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโทบะ”「TOBA AQUARIUM(鳥羽水族館)」 หรือ “เกาะไข่มุกมิกิโมโตะ”「MIKIMOTO PEARL ISLAND(ミキモト真珠島)」เป็นต้น
การเดินทางนั้น สามารถเดินทางจาก “นาโกย่า” หรือ “โอซาก้า” ได้โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งอ่าวโทบะที่สวยงามนี้ ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่หอยนางรมชื่อดังในประเทศญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
“กระท่อมหอยนางรม”「KAKIGOYA(牡蠣小屋)」ส่วนใหญ่จะเป็นร้านที่สามารถทานหอยนางรมย่างได้ไม่อั้นภายในเวลา 90 นาที ถึง 2 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับแต่ละร้าน) บางร้านอาจมีข้าวหอยนางรม หรือซุปมิโซะ มาให้อีกด้วย ราคาประมาณ 2000-3000 เยน แค่ในพื้นที่บริเวณ “โทบะ” ก็มี “กระท่อมหอยนางรม”「KAKIGOYA(牡蠣小屋)」มากกว่า 10 ร้าน ซึ่งจะเปิดให้บริการไปจนถึงปลายเดือนมีนาคมเลยทีเดียว
『ร้าน “กระท่อมหอยนางรม”「KAKIGOYA(牡蠣小屋)」ทานบุฟเฟต์หอยนางรม ในเมืองโทบะ ปีพ.ศ.2561-2562』
และสิ่งสุดท้ายก็คือ “สตรอว์เบอร์รี่” ถึงแม้ว่าเดิมทีสตรอว์เบอร์รี่จะเป็นผลไม้ที่สามารถหาทานได้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิในประเทศญี่ปุ่น แต่ด้วยเทคโนโลยีการเพาะปลูกที่ก้าวไกลมากขึ้นทำให้มีการเพราะปลูกด้วยเรือนกระจกเพิ่มมากขึ้นเพื่อยืดระยะเวลาการเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่เดือนธันวาคมไปจนถึง ฤดูใบไม้ผลิ ทำให้สามารถเพลิดเพลินกับสตรอว์เบอร์รี่ในประเทศญี่ปุ่นได้ยาวนานมากขึ้น ซึ่งเมื่อเทียบสตรอว์เบอร์รี่ญี่ปุ่นกับประเทศไทยแล้ว สตรอว์เบอร์รี่ญี่ปุ่นจะมีสีที่สด รสชาติที่หวาน และขนาดที่ใหญ่กว่า ดังนั้นนอกจากความอร่อยแล้ว ยังดูดีถ่ายรูปก็ดูดี เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรพลาดในการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว
“สตรอว์เบอร์รี่” ที่ไม่ควรพลาดในฤดูหนาวของประเทศญี่ปุ่น ในสวนเกษตรต่างๆ ของประเทศญี่ปุ่นจะมี “กิจกรรมเก็บสตรอว์เบอร์รี่” ซึ่งถึงแม้ว่าสวนเกษตรเก็บสตรอว์เบอร์รี่เหล่านี้ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เข้าถึงยาก และยากต่อการเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แต่หากเป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่ใกล้เมืองโตเกียว คุณสามารถไปเก็บสตรอว์เบอร์รี่ได้ที่『SETAGAYA ICHIGOJUKU(世田谷いちご熟)』(ช่วงเวลาทำการ วันพุธ และวันอาทิตย์ ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2562)
หรือ『HAMAMATSU FRUIT PARK(浜松フルーツパーク)』(ช่วงเวลาทำการทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2561)ที่สามารถเดินทางจากสถานีฮามามัตสึ ด้วยรถบัสได้โดยตรง
ซึ่งสถานที่ที่ได้แนะนำไปเป็นสถานที่ที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติก็สามารถเดินทางไปได้ไม่ยาก สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ให้ข้อมูลนักท่องเที่ยวตามจุดต่างๆ
ครั้งนี้ได้แนะนำ “อาหารประจำฤดูหนาว” ไปทั้งหมด 3 อย่าง คือ “ปู” “หอยนางรม” และ “สตรอว์เบอร์รี่” ถึงแม้ว่าทั้งสามชนิดนี้จะเป็นวัตถุดิบที่สามารถหาทานได้ในประเทศไทยเช่นกัน แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเลยก็คือ สี ขนาด และรสชาติ สามารถเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างแต่ละที่ ทานวิธีการรับประทานสไตล์ญี่ปุ่น หรือถ่ายรูปเด็ดๆ ลงโซเชี่ยวกับสิ่งที่ไม่สามารถสัมผัสได้ในประเทศไทย ยังไงหากได้ไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นในช่วงฤดูหนาวก็ลองลิ้มรสชาติวัตถุดิบแห่งฤดูหนาวของญี่ปุ่นดูได้เลย แล้วพบกันใหม่ในตอนหน้า ♪