ท่องราตรีในโอซาก้า

สวัสดีครับ ผมชื่อพิซซานะครับ ยินดีที่ได้รู้จักดรับ

ผมได้มาเที่ยวโอซาก้า โอซาก้าเมืองใหญ่อันดับสองของญี่ปุ่น เมืองที่คึกคักตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน จนได้ฉายาว่า “เมืองที่ไม่เคยหลับใหล” แม้โอซากาจะมีย่านการค้าและย่านธุรกิจหลายๆแห่งกระจายตัวอยู่ทั่วทั้งเมือง แต่สำหรับพิซซาแล้วคิดว่า ย่านเที่ยวกลางคืนที่คึกคักที่สุดมีหน่มบ่าวสาวสวยเมถนนและรู้จักกันดีที่สุดในหมู่นักท่องเที่ยว คือ ย่านนัมบะ (NAMBA)

ย่านนัมบะ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโอซากา ขนานไปกับคลองโดะทงโบริ (Dohtonbori gawa) เป็นแหล่งรวมร้านอาหาร ผับ บาร์ ร้านค้าของใช้สุดหรูยี่ห้อดังสินค้าแบรนด์เนม สินค้าของที่ระลึกของญี่ปุ่น รวมทั้งร้านค้าปลอดภาษีหลายๆร้าน มีนักท่องเที่ยวมากหมาย ต่างรวมตัวกันตลอดแนวถนนและตรอกซอกซอย ซึ่งถนนในย่านนี้จะตัดกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมแบ่งย่อยเป็นซอยเล็กซอยน้อยหลายสาย แต่ละสายแต่ละย่านก็มีร้านอาหารของกินอร่อยๆ มากมาย

ก่อนที่จะมาถึงร้านของกินดังๆ ใครๆมาย่านนัมบะแล้ว คงจะต้องตรงไปที่ริมคลอง โดะทงโบริใกล้ๆ สะพานโดะทงโบะริ เพื่อถ่ายรูปกับป้ายไฟรูปนักวิ่งชูสองมือเข้าเส้นชัย สัญลักษณ์ของ กุลิโกะ (Glico) จนอาจจะกล่าวได้ว่า ป้ายไฟกุลิโกะกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองโอซากาอย่างหนึ่ง ที่ใครมาโอซากาจะต้องมาถ่ายรูปกับป้ายไฟนี้ มิฉะนั้นอาจโดนแซวว่า เหมือนมาไม่ถึงโอซากา ว่าแล้วก็ต้องจัดไป มาถ่ายรูปกับป้ายไฟกุลิโกะสักหน่อย แชะๆๆ

อีกหนึ่งป้ายสัญลักษณ์ของย่านนัมบะที่โดดเด่น คือ ป้ายหน้าร้านปูแมงมุม ที่ป้ายหน้าร้าน มีรูปปูขนาดใหญ่สามารถขยับก้ามและขาปูทั้ง 8 ขาได้ เป็นจุดเด่นที่ใครไปใครมาก็จะยืนถ่ายรูป เป็นที่ระลึกกัน มีนักท่องเที่ยวยืนรอถ่ายรูปกันคึกคักทีเดียว เดิมมีร้านขายปูแมงมุมที่ทำรูปปูนี้ เพียงร้านเดียวตรงหัวมุมใกล้สะพานโดะทงโบริ ไม่ไกลจากป้ายไฟกุลิโกะ ปัจจุบันเท่าที่ลองเดินดู เหมือนจะมีสมาชิกปูเพิ่มเป็น 3 ตัวใน 3 ร้านแล้วนะครับ ยังไงก็ไม่ต้องแย่งกัน สามารถเดินถ่ายรูปได้ ทั้งสามร้านสามตัวตลอดแนวถนน ว่าแล้วก็ไปถ่ายรูปให้ครบสามตัวเลยนะจ๊ะ

อีกหนึ่งไฮไลท์สำหรับใครที่มาเที่ยวญี่ปุ่น สำหรับคนที่ทานเนื้อวัวหรืออยากลองทานเนื้อวัวญี่ปุ่นที่ได้ชื่อว่า อร่อยนุ่มลิ้นสุดๆ ถึงขนาดมีคำกล่าวว่า “นุ่มขนาดละลายในปาก” เลยทีเดียว ขนาดนั้นเลยเหรอ ว่าแล้วก็ต้องมาลองพิสูจน์กันหน่อยล่ะ

ครั้งนี้เลือกลองทานที่ร้าน 『FUFUTEI YAKINIKU』

คำว่า “YAKINIKU” ก็แปลว่า “เนื้อย่าง” นั่นเอง ตัวร้านอยู่บนอาคารชั้น 5 หาไม่ยากนัก เพราะตรงหน้าสะพานโดะทงโบริพอดี ยังไม่ทันขึ้นถึงชั้น 5 กลิ่นหอมของเนื้อย่างก็โชยมา หอมมากๆ พอถึงร้านก็มีน้องบริกรผู้ชายหน้าตาน่ารักมาเชิญไปนั่ง พร้อมอธิบายเมนูต่างๆ รวมทั้งเมนูเด็ดของร้านอย่างนั้นอย่างนี้ อ้อ! ร้านนี้มีเมนูภาษาอังกฤษด้วยนะครับ เพื่อนๆ คนไทยไปทานก็ไม่มีปัญหาเลย ชุดแรก  ที่น้องยกมา มีเนื้อวัวแล่บางๆ แนวยาวหมักในกระเทียมและน้ำมัน 4 ชิ้น ย่างบนเตาถ่านที่ไฟแรง   

ห้อร่อยมากจะต้องย่างไม่สุกมากนัก มีสีแดงของเนื้อเหลือนิดๆ และที่สำคัญไม่ต้องพลิกเนื้อที่ย่างนะจ๊ะ เพราะความร้อนทำให้สุกทั้งสองด้านแล้ว ถ้าพลิกแล้วอาจจะไหม้เกรียมเกินไป เอานะ..เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม คนญี่ปุ่นบอกกินแบบนี้อร่อยก็เชื่อเขาแล้วกัน

เป็นครั้งแรกที่กินเนื้อย่างแบบไม่สุกเต็มที่ แล้วก็จริงอย่างที่บอก…อร่อยมากๆๆๆๆ เนื้อย่างบางๆ หอม นุ่มลิ้น จิ้มน้ำจิ้มแบบญี่ปุ่นที่ผสมโชยุกับปอนซึ (Ponzu shoyu) รสชาติเหมือนโชยุผสมส้มหรือมะนาว เค็มๆเปรี้ยวๆ เข้ากับเนื้อย่างได้ดีมาก ฟินสุดๆ

เข้าใจแล้วละว่าทำไมใครๆถึงบอกว่าเนื้อวัวญี่ปุ่น (Wagyu) อร่อยแบบสุโก้ยแบบนี้นี่เอง หลังจากนั้นก็มีชุดเนื้อมาในกล่องสวยงามแช่มาในน้ำแข็งแห้ง ในหนึ่งกล่องมีอย่างละชิ้นสองชิ้น จัดเรียงมาอย่างสวยงามตามสไตล์อาหารญี่ปุ่น แอบปรามาสว่า มีแค่นี้จะอิ่มเหรอ ย่างไปกินไปเพลินๆ เอ่อ..ก็อิ่มนะ อาหารญี่ปุ่นเสริฟแต่ละครั้ง มาปริมาณน้อยๆ เน้นตกแต่งสวยงามแบบมีศิลปะ แต่สุดท้ายก็อิ่มกำลังพอดี อ้อ!

สำหรับเพื่อนๆคนไหนไม่กินเนื้อวัว คือ ยังไงก็กินไม่ได้จริงๆ ไม่ต้องกังวลนะครับ ร้านนี้มีเนื้อหมู เนื้อไก่ และอาหารทะเล เช่น กุ้ง หมึก หอยเชลล์ตัวใหญ่ และเครื่องเคียง เช่น กิมจิ ด้วยนะครับ    ตอนจ่ายเงินแอบคิดว่า จะโดนไปกี่มากน้อยนะ พอเห็นบิลอาหาร ก็ไม่ได้แพงมากอย่างที่คิดเลยนะครับ อาหารที่สั่งมาเป็นชุดอาหาร ราคารวมต่อหัว แค่ 3,480 เยน ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามากกับการได้ลองของอร่อยอย่างเนื้อวัวญี่ปุ่น

อิ่มอร่อยกับเนื้อย่างแล้ว ถ่ายรูปกับน้องๆพนักงานหนุ่มน้อยหน้าตาดีเป็นที่ระลึกสักหน่อย

อิ่มแล้ว แต่ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล เดินเล่นเพลินๆ ชมไฟสัมผัสความหนาว ผู้คนไม่ได้ลดลงเลยนะ ยิ่งดึกยิ่งดูคึกคัก ยังไม่อยากกลับที่พัก หาที่นั่งเล่นชิลๆ ดีกว่า เลือกร้านบาร์แบบตะวันตก ชื่อ ร้าน 『ZERRO』  

ซึ่งสังเกตได้ว่ามีชาวต่างชาติเข้าร้านเยอะ เพราะพนักงานต้อนรับซึ่งทั้งหมดเป็นชายหนุ่มน้อยหน้าละอ่อนพูดภาษาอังกฤษได้ และพนักงานในร้านบางคนก็เป็นชาวต่างชาติด้วย

เครื่องดื่มส่วนใหญ่เป็นเครื่องดื่มแบบตะวันตก ได้บรรยากาศดู inter ปนญี่ปุ่นทีเดียว

ไม่ใช่เฉพาะพนักงานเท่านั้น ลูกค้าร้านนี้ ก็มีคนหน้าตาดีเยอะมากนะ

พนักงานร้าน ยิ้มน่ารักมาก และพูดภาษาอังกฤษเก่งมาก

อีกคืนหนึ่ง ลองไปร้านเหล้าแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่า IZAKAYA ร้านนึงที่ชื่อ 『KOBE YAKITORI YUJIN』 เอ๊ะ! ซาชิมิไก่? หน้าตาจะเป็นยังไง ต้องไปลองสักหน่อย。

บรรยากาศร้านเหล้าดูคึกคัก ลูกค้าเข้ามานั่งกินนั่งคุยกันดูสนุกสนาน อาจเป็นเพราะคืนวันศุกร์ด้วย

ไม่มีใครเร่งรีบกลับบ้าน สังเกตอีกอย่าง ร้านนี้ก็มีพนักงานต้อนรับในร้านเป็นผู้ชายหน้าตาวัยละอ่อนทั้งหมดเลย เริ่มสังเกตได้ว่า ร้านอาหาร ร้านเหล้าในญี่ปุ่นพนักงานในร้านส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นผู้ชาย บางคนก็เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่มาทำงานพิเศษ ที่เรียกว่า “Arubaito” ก็เป็นบรรยากาศที่อาจจะต่างจากเมืองไทย ที่ร้านเหล้าหรือร้านอาหารกลางคืน พนักงานต้อนรับส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง

ลองสั่งซาชิมิไก่มาชิมสัมผัสแรกอาจจะรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องกินเนื้อไก่ดิบ แต่เป็นเนื้อไก่สดที่แล่บางๆ อาจจะเลือกชุดรวมที่จะเสริฟพร้อมตับไก่สด และกึ๋นไก่สดแล่บางๆ ก็ได้นะครับ จิ้มกับโชยุ ผสมขิงบดและต้นหอม

หนึบๆดีจ้า แต่เมนูนี้อาจจะไม่ถูกปากพิซซามากนัก

สั่งไก่ย่างเสียบไม้โรยเกลือแบบญี่ปุ่น ที่เรียกว่า Yakitori ดีกว่า อันนี้อร่อยจริง ไก่ย่างหอมๆ ย่างเสียบไม้กับต้นหอมญี่ปุ่นหวานๆ ซึ่งเพื่อนชาวญี่ปุ่นบอกว่า ในฤดูหนาวผักผลไม้ในญี่ปุ่นจะมีน้อย แต่ผักบางชนิดที่ทนอากาศหนาวได้ จะมีรสชาติหวานอร่อยเป็นพิเศษ เช่น ต้นหอมญี่ปุ่น ก็เป็นความรู้ใหม่นะเนี่ยว่าอากาศหนาวทำให้พืชมีรสชาติหวานมากขึ้น ร้านเหล้าที่เรียกว่า IZAKAYA แบบนี้ จะไม่มีดนตรีบรรเลงหรือเปิดเพลง เพราะจะเน้นให้ลูกค้าได้นั่งสังสรรค์พูดคุยกันได้อย่างสนุกสนานเต็มที่ 

ถ่ายรูปกับพนักงานหนุ่มน้อยเด็กนักเรียนหน้าตาดีๆเป็นของที่ระลึกอีก555

ส่วนอีกร้านที่มีคนแนะนำมา คือ ร้าน CINQUECENT หรือร้าน 500 ในภาษาอิตาเลียน ที่มีเอกลักษณ์ตรงที่เครื่องดื่มทุกเมนูขายในราคา 500 เยนเท่ากันหมด

ร้านนี้บรรยากาศเหมือนบาร์ทั่วๆไป ลูกค้าจะนั่งตามเคาเตอร์บาร์ที่ทำเป็นรูปตัว U ร้านนี้มีพนักงานทั้งผู้ชายและผู้หญิง ทั้งคนญี่ปุ่นและคนต่างชาติ ซึ่งพนักงานพูดคุยภาษาอังกฤษ ได้ดี ทำให้การคุยเป็นไปอย่างสนุกสนานและเป็นกันเอง ลูกค้าส่วนใหญ่ก็ดูเหมือนเป็นลูกค้าประจำ เข้ามาก็ทักทายกันแบบคุ้นเคย เป็นอีกประสบการณ์ในญี่ปุ่นครับ สำหรับร้านกินดื่มยามราตรี ในย่านนัมบะของเมืองโอซากา

เราสนิทกับชาวฝรั่งเศสที่เป็นพนักงานร้านนี้ด้วย เขาบอกว่า”ผมชอบประเทศไทย” คำนี้ได้ยินจากคนที่เจอที่โอวาก้าบ่อยๆนะครับ

แล้วหนุ่มน้อยขาวหล่อๆคนนี้เป็นเจ้าของร้านะครับ เขาแนะนำร้านที่น่าสนใจกับพิซาด้วย

หากเพื่อนๆมีโอกาสมาเที่ยวโอซากา แล้วมีเวลาในยามกลางคืนที่ไม่เหนื่อยจากการเที่ยวตอนกลางวันมากนัก การมาเดิมชมแสงสีและสัมผัสบรรยากาศร้านกินดื่มแบบญี่ปุ่นและแบบญี่ปุ่นผสมฝรั่งในย่านนัมบะก็น่าสนใจมิใช่น้อยนะครับ เป็นประสบการณ์ใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากเมืองไทย และราคาก็ไม่ได้แพงมากมายเกินไปนัก หากใครมีเรื่องเล่าประสบการณ์ในการเดินเที่ยวร้านกินดื่มยามค่ำคืนอย่างไร ก็สามารถมาแบ่งปันประสบการณ์ได้นะครับ